Quantcast
Channel: People – Praew (แพรว) – All Luxe You Can Reach
Viewing all 6621 articles
Browse latest View live

งานแต่งงาน แสนอบอุ่น เทย่า – มิก้า คู่รักที่คอยสนับสนุนกันและกันมาโดยตลอด

$
0
0

หวานเคล้ากลิ่นไอทะเล งานแต่งงาน แสนอบอุ่นของนักแสดงสาว “เทย่า โรเจอร์” เจ้าของบท “ปริศนา” และนักฟุตบอลหนุ่ม “มิก้า ชูนวลศรี”

งานแต่งงาน

จูงมือกันเข้าประตูวิวาห์ไปอีกคู่แล้วสำหรับคู่รักคู่หวาน  “เทย่า โรเจอร์” เจ้าของบท “ปริศนา”ที่แฟนละครจำได้ดี กับนักฟุตบอลหนุ่มคนดัง “มิก้า ชูนวลศรี” โดยเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายนที่ผ่านมาทั้งสองได้จัดพิธีเล็กๆ ขึ้นที่โรงแรม บาบา บีช คลับ ภูเก็ต บาย ศรีพันวา ซึ่งสถานที่แห่งนี้ยังเป็นที่ที่ดาวเตะหนุ่มขอนักแสดงสาวแต่งงานอีกด้วย

สำหรับบรรยากาศในงานนั้นเป็นไปอย่างอบอุ่นท่ามกลางความโรแมนติกเคล้ากลิ่นไอทะเล ซึ่งคู่รักได้เชิญเพียงครอบครัวและเพื่อนสนิทมาร่วมงานเท่านั้น เนื่องจากจะมีพิธีฉลองมงคลสมรสที่กรุงเทพฯในวันที่ 14 พฤศจิกายน ณ ปาร์คนายเลิศ ที่กรุงเทพมหานคร

เทย่า

โดยในรายการ “สามแซบ” โดย เทย่า ได้เคยให้สัมภาษณ์ถึงความรักของเธอกับหนุ่ม “มิก้า”ว่าทั้งคู่เจอกันครั้งแรกในการถ่ายภาพยนตร์เรื่อง “Love Sucks” มิก้ามาที่กองถ่ายเพื่อมาให้กำลังใจ”ลีซอ”เพื่อนของเขา ขณะที่นักแสดงสาว “ชิปปี้-ศิรินทร์ ปรีดียานนท์” ซึ่งเป็นดารารับเชิญร่วมได้เผยความลับว่าจริงๆ แล้ว หนุ่มมิก้าแอบปลื้มสาวเทย่ามานานแล้ว

ในส่วนของความประทับใจที่มีต่อแฟนหนุ่มนั้น เธอบอกว่าชื่นชอบมิกก้าตรงที่เป็นคนติดดิน และเป็นคนที่ใส่ใจเธอไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ ในเวลาที่เธอเครียดหรือเป็นกังวลแม้ไม่ได้บอกแต่เขาก็สัมผัสได้ แม้ว่าเขาจะไม่มีเวลาแต่เขาก็มักจะส่งกำลังใจเธอด้วยการส่งขนมหรือดอกไม้ไปที่บ้านเป็นประจำ

เทย่า

ทั้งนี้หลังจากที่เทย่าถูกขอแต่งงานเธอได้ให้สัมภาษณ์ในงานอีเว้นต์งานหนึ่งว่าเธอไม่รีบร้อนที่จะเข้าพิธีวิวาห์ เธออยากรอให้หมดฤดูกาลแข่งขันก่อน เนื่องจากไม่อยากให้ฝ่ายชายเป็นกังวล ถ้าทำไปพร้อมๆ กันทั้งสองอย่างเกิดฝ่ายชายบาดเจ็บมาเธอคงเป็นคนที่เสียใจอย่างแน่นอน ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นความจริงใจและหวังดีที่ทั้งสองมีให้กันมาโดยตลอด

อย่างไรก็ตามไม่เพียงเท่านั้นเทย่ายังได้เคยโพสต์ข้อความถึงคนรักของเธออย่างน่าประทับใจเนื้อหาประมาณว่า “อะไรที่คุณขาดหายฉันจะมีให้ ถ้าเราเจอความล้มเหลวเราจะกลับมายิ่งใหญ่กว่าเดิม ถ้ามีวันที่ไม่ดีเราจะทำให้กลางคืนดีกว่านั้น เธอจะเป็นกระดูกสันหลังให้กับเขา และทั้งคู่จะเป็นกำลังใจให้กันและกันเสมอ”


 

The post งานแต่งงาน แสนอบอุ่น เทย่า – มิก้า คู่รักที่คอยสนับสนุนกันและกันมาโดยตลอด appeared first on Praew (แพรว) – All Luxe You Can Reach.


น่ารักคิ้วต์ๆ “น้องเลิฟ”หลานรัก “อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา”แห่ง KING POWER

$
0
0

เปิดภาพความน่ารักในโมเมนต์คิ้วต์ๆ  ระหว่าง “น้องเลิฟ” กับน้าชาย “อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา” แห่ง KING POWER ที่สารภาพหมดเปลือกว่าเห่อและติดหลานสาวมากคนนี้มากๆ

เป็นภาพที่เราไม่ค่อยจะได้เห็นบ่อยสำหรับอิริยาบถรีแล็กซ์ๆ สบายๆ ของผู้บริหารใหญ่ “คุณอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา” แห่ง KING POWER เนื่องจากปกติแล้วมักจะปรากฏตัวในงานธุรกิจใหญ่ๆ มากกว่า แต่ล่าสุดผู้บริหารหนุ่มได้เปิดเผยตัวตนในอีกมุมหนึ่งให้เห็นผ่านรายการ “ชลรัศมีกับวีไอพี” ปีที่ 11 ออกอากาศทางช่อง34 อมรินทร์ทีวี ดำเนินรายการโดย “ชลรัศมี งาทวีสุข” ซึ่งไฮไลท์สำคัญในเทปนี้เป็นการเปิดเผยภาพความน่ารักระหว่างคุณน้าชายและหลานสาว “น้องเลิฟ” สมาชิกคนล่าสุดของตระกูลคิง เพาเวอร์ ซึ่งเป็นทายาทของ “รัก-วรมาศ”กับ “หนาม-รวิ ธนดล” ซึ่งปกติแล้วไม่ค่อยเปิดเผยภาพของลูกสาวของพวกเขาสักเท่าไหร่

“ต๊อบ-อัยยวัฒน์” ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ ได้ให้สัมภาษณ์ถึงหลานสาวที่เขาบอกว่าตอนนี้เป็นคู่อริกันอย่างยิ้มๆ ว่า บางครั้งก็ชอบแกล้งหลานสาวเพราะอยากให้เขาจำได้ ผู้บริหารหนุ่มยังบอกอีกว่า “น้องเลิฟ” มีใบหน้าที่เหมือนเขาในวัยเด็กอย่างมาก ส่วนนิสัยที่คล้ายที่สุดน่าจะเป็นความ “Boss” ถ้าเขาอยากได้อะไรเขาจะแสดงออกมาทันที ซึ่งก็เป็นอะไรที่ดี ยอมรับว่าเห่อหลานคนแรกมากๆ แต่คิดว่าถ้ามีสัก 2-4 คนอาการนี้ก็คงจะเบาลง คุณต๊อบกล่าวทิ้งท้าย

 KING POWER

 KING POWER

 KING POWER

 KING POWER

 KING POWER

 KING POWER


ภาพจาก : รายการ “ชลรัศมีกับวีไอพี” ปีที่ 11

สามารถติดตามอ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่

 ไม่หวั่นแม้ถูกบูลลี่ บิ๊นท์-สิรีธร สร้างประวัติศาสตร์ คว้ามงแรก Miss International 2019

วิวาห์หวาน อบอุ่นไปด้วยความรัก โดนัท มนัสนันท์ – ตาม จากเพื่อนกลายเป็นแฟน

คอนเซ็ปต์อบอุ่นสบายๆ ปอ ณฐมน – ดัง สุทธิวรรธน์ วิวาห์ชื่นมื่น

 สวยเฉียบฉลาดเลือก ชุดแต่งงาน โดนัท มนัสนันท์ คุ้มค่าคุ้มราคา ใส่กี่รอบก็ได้  

มัตสึโมโต้ จุน ตำนานชิโรคิน หนุ่มฮ็อตแห่ง Gokusen (ลูกสาวเจ้าพ่อขอเป็นครู)

หลากสีสัน! รวมดาวเด่นในคืน ลอยกระทง นางนพมาศ 2562 สวยงามในชุดไทย

มุ่งมั่นสมศักดิ์ศรีสาวไทย เบื้องหลังความสำเร็จก่อนคว้าชัย มิสอินเตอร์ฯ 2019 ของ “บิ๊นท์ สิรีธร”

งานแต่งงาน แสนอบอุ่น เทย่า – มิก้า คู่รักที่คอยสนับสนุนกันและกันมาโดยตลอด

The post น่ารักคิ้วต์ๆ “น้องเลิฟ” หลานรัก “อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา” แห่ง KING POWER appeared first on Praew (แพรว) – All Luxe You Can Reach.

อัพเดทความพร้อม ชมพู่ อารยา เดินหน้าโปรเจ็กต์ลูกสาวคนต่อไป

$
0
0

ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้จะไม่มีผลงานทางการแสดงและภาพยนตร์ แต่ ” ชมพู่ อารยา ” หน้าเอกแถวหน้าของเมืองไทยก็ยังงานชุกอย่างต่อเนื่อง แต่ล่าสุดนับเป็นข่าวดีของแฟนๆ เพราะเธอได้กลับมามีผลงานอีกครั้งในภาพยนตร์เรื่องล่าสุด “ตุ๊ดซี่ส์ แอนด์ เดอะเฟค” ของค่ายจีดีเอช559 ซึ่งเธอรับบทเป็น “เจ๊น้ำ” แม่ค้าที่มีหน้าเหมือนกับดาราสาวชื่อดังของวงการบันเทิง เรื่องวุ่นๆ จึงเกิดขึ้น ซึ่งเมื่อวันที่ 13 พ.ย.2563 ได้มีการจัดงานแถลงข่าวเปิดตัวภาพยนตร์ที่ ชั้น M ศูนย์การค้าดิ เอ็มควอเทียร์ ซึ่งหลังจากที่พิธีการบนเวทีเสร็จสิ้น เธอก็ได้ให้สัมภาษณ์ถึงบทบาทที่ได้รวมถึงความประทับใจในผลงานชิ้นล่าสุดนี้ด้วย

ทำไมถึงรับเล่นภาพยนตร์เรื่องนี้?

“มันอยู่ในจังหวะที่เราอยากทำงาน และเป็นช่วงที่จีดีเอชติดต่อมาพอดี พอได้ฟังเรื่องก็รู้สึกว่าน่ารักดี อยากลองทำดู เราก็เลยอยากแจมด้วย จริงๆ ตัดสินใจไม่นาน แต่ตอบเขาช้า ทั้งๆ ที่ตัดสินใจไปแล้ว”

ครอบครัวมีโอกาสได้เห็นไหมตอนที่ซ้อมที่บ้าน?

“ไม่เห็นค่ะ ไม่ได้ซ้อมให้เห็นค่ะ คือบางทีก็ซ้อมอยู่ในห้องน้ำเงียบๆ คนเดียว แบบว่ารอลูกหลับก่อน จะมีแค่ตอนผัดกับข้าวเท่านั้นที่ต้องให้คนถ่ายให้”

ชมพู่ อารยา

เข้าเรื่องส่วนตัวบ้างตอนนี้น้องๆ ไปโรงเรียนเป็นไงบ้าง?

“ก็ดีนะคะ รู้สึกว่าเขาก็โตขึ้น มันได้ฝึกทักษะหลายอย่าง เป็นวิถีอีกแบบหนึ่ง แต่เราก็ชอบชีวิตแบบนี้นะ ถามว่ามีแอบย่องไปดูเขามั้ย ไม่ย่องค่ะ เพราะที่นี่เขาไม่ให้เข้าไปเลย เกาะรั้วไม่ได้ (หัวเราะ)​”

เป็นห่วงหรือเปล่า?

“ไม่ค่อยห่วงนะ เพราะเรารู้ว่าตรงนั้นคือยังไง เขาเต็มที่แล้ว”

ปกติแม่ๆ เวลาไปส่งลูกจะใจหาย ของเรามีโมเมนต์นั้นบ้างไหม?

“ของชมไม่ได้ว่าใจหายว่าห่างอกเรา เพราะเรารู้ว่าเขาอยู่ในที่ที่ปลอดภัย ก็เลยไม่ได้พิรี้พิไรมาก ยิ่งตัดให้ง่ายก็จะยิ่งง่ายทั้งกับเขาและเรา ถ้าเราไปป้วนเปี้ยนก็กลายเป็นว่าเด็กก็ตัดไม่ได้สักที ของชมก็ไม่มีอะไร แค่ 2-3 วัน เขาก็ปรับตัวได้”

แสดงว่าน้องไม่มีงอแงเลย?

“เขาก็มีร้องนิดหน่อย เพราะอย่างวันแรกที่ไปเรียน เขาก็อนุญาตให้คุณพ่อคุณแม่เข้าไปส่งได้ถึงในห้อง เขาก็จะเพลิดเพลินตื่นตาตื่นใจมากกับของเล่น แต่พอเราบอกว่าจะไปแล้วนะ พอเขาเห็นเราจะไปจริงๆ เขาก็มีร้องนิดนึง หลังจากนั้นพอเขาเล่นโน่นนี่นั่น เขาก็เหมือนเดิม มีบ่นๆ อยู่ 2-3 วันแรก หลังจากนั้นเขาก็เข้าใจว่าเขาต้องมาโรงเรียน แล้วโรงเรียนไม่ได้น่ากลัว”

แต่เรื่องความซน เราห่วงน้องๆ มั้ยเวลาไม่อยู่ในสายตาเรา?

“คือยังไงก็ไม่เคยแบบ คือชมมีทีมงานที่ดี มันต้องไม่มีช่วงที่ละสายตาเราเลย คือถ้าไม่ใช่คนที่ชมไว้ใจ ชมก็ไม่ฝากกับใครเลยทั้งสิ้น”

ชมพู่-อารยา เอ ฮาร์เก็ต

โตขึ้นอีกหน่อยเขาจะอยู่ห้องเดียวกันหรือคนละห้อง?

“อ๋อ ต้องแยกแหละ อันนี้มีคุยกับคุณครูที่โรงเรียนเหมือนกัน ตอนนี้ที่แคมปัสมันมีแค่คลาสเดียว ผู้ปกครองบางคนก็ยังไม่ได้ส่งลูกมาในอายุเท่านี้ แต่ปีต่อไปพอขึ้นเตรียมอนุบาลปี 2 มันก็จะมี 2 ห้องแล้ว ทีนี้ก็ต้องจับแยก ปีนี้จับแยกไม่ได้เพราะมีห้องเดียว จริงๆ ชมก็รู้แหละว่าระยะยาวยังไงเขาก็ต้องให้แยกอยู่แล้ว เด็กจะได้มีความเป็นตัวของตัวเองด้วย เพราะไม่ยังงั้นเขาก็จะอิงกันพิงกันไปตลอด เขาก็ต้องหาตัวเขาเองด้วย”

เรื่องเข้าสังคม น้องๆ เข้ากับเพื่อนๆ ได้ดีไหมในสายตาเรา?

“จริงๆ คิดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไรนะ ตั้งแต่ก่อนเข้าโรงเรียนก็พาเขาไปทั่ว”

แสดงว่าพยายามไม่ให้น้องใช้ชีวิตแบบเป็นแฝดตัวติดกันตลอดเวลา?

“ก็คือสอนให้รักกันเหมือนเป็นพี่น้องปกติแหละค่ะ แต่มันเฮลตี้กว่าสำหรับเขาที่ถ้าต่อไปต้องจับเขาแยกบ้าง”

ลูกเข้าโรงเรียนแล้ว โครงการมีลูกคนต่อไปล่ะ?

“ก็เดี๋ยวต้องดูว่าหลังจากหนังและคิวปีหน้า ผังรายการเป็นยังไง (หัวเราะ)​ ต้องลองวางผังของตัวเองดูค่ะ ก็คงจะมีอีกคนแหละค่ะ แต่ว่าช่วงไหนเนี่ย คือชมก็อยากจะวางระยะเวลาที่เราท้องแล้วไม่กระทบงาน ไม่กระทบการเดินทางของเรา”

อยากได้ลูกสาว ตั้งใจจะเลือกเพศเลยไหม?

“ก็อยากได้ แต่เดี๋ยวดูกันอีกทีนึง สุดท้ายได้อะไรก็ต้องตามนั้นค่ะ”

ต้องปรึกษาคุณหมอก่อนหรือเปล่า?

“ก็มีบ้างค่ะ เราอายุเท่านี้แล้ว เรื่องวางแผนครอบครัวเราก็ต้องปรึกษาคุณหมอค่ะ”

ถามถึงเรื่องรูปขี่คอน็อต คนแซวว่าฟิตจัง?

“ฟิตๆ นางฟิต (ยิ้ม)​ วันนั้นออกกำลังกายค่ะ สามีเปิดฟิตเนสค่ะ (เลยโชว์หน่อย)​ ก็นิดนึง ถามว่ากล้ามปูมั้ย อย่าให้โตไปกว่านี้เลยค่ะ ประมาณนี้ๆ (หัวเราะ)​ ถามว่ากลัวเหรอ ไม่หรอกค่ะ”

ไปออกกำลังกายกันสองคนบ้างไหม?

“คือเวลาอาจไม่ได้ตรงกัน เพราะถ้ามัวแต่รอกันก็อาจจะไม่ได้ออกค่ะ แต่เนื่องจากเป็นสถานที่ของเขา บางทีก็สวนกันไปมาในยิมบ้าง”

เล่นประจำที่ฟิตเนสสามีไปเลยหรือเปล่า?

“ใช่ ก็พยายาม มันก็เล่นที่อื่นไม่ได้แล้ว มันก็ต้องเล่นที่นี่แหละ (หัวเราะ)​ ถามว่าไปดูกิจการด้วยรึเปล่า ชมไม่ได้อะไรมากหรอกค่ะ แค่ไปเล่นแล้วเทรนเนอร์ที่เคยเทรนก็มาอยู่ที่นี่หมด อุปกรณ์มันก็ครบดีด้วย สถานที่ก็ไม่ได้ไกลบ้าน ก็สะดวก”

เป็นการประกาศว่าฟิตแล้ว พร้อมปั๊มลูกคนต่อไปไหม?

“(หัวเราะ)​ ก็ไม่ได้ประกาศอะไร เรามีไลฟ์สไตล์แบบนี้อยู่แล้ว พยายามดูแลตัวเองอย่างนี้ตลอดอยู่แล้ว จะมีน้องหรือไม่มีน้อง เรื่องการดูแลตัวเองมันควรเป็นไลฟ์สไตล์ ไม่ใช่ว่าเรามีเป้าหมายแล้ว เราก็ทำให้ไปถีงเสร็จแล้วปิดโปรเจ็กต์ค่ะ”


ภาพจาก : ศูนย์การค้าดิ เอ็มควอเทียร์

The post อัพเดทความพร้อม ชมพู่ อารยา เดินหน้าโปรเจ็กต์ลูกสาวคนต่อไป appeared first on Praew (แพรว) – All Luxe You Can Reach.

ขั้วตรงข้าม “ปราง-นวลวรรณ พรรณเชษฐ์” ลูกสาวคนเก่งของ มาดามแป้ง

$
0
0

ถือเป็นทายาทคนดังอีกหนึ่งคนที่นับได้ว่าเป็นลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นเลย สำหรับ “ปราง-นวลวรรณ พรรณเชษฐ์” ลูกสาวของ มาดามแป้ง “นวลพรรณ ล่ำซำ” ที่บอกได้เลยว่าเธอไม่ได้แค่สวยเหมือนคุณแม่เท่านั้น แต่ยังมีความเก่งพอตัวอีกด้วย

มาดามแป้ง

ล่าสุดเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา “ปราง” ได้สร้างรอยยิ้มให้กับคุณพ่อ-คุณแม่ด้วยการคว้าปริญญาบัตรถึง 2 ใบ มาให้ครอบครัวได้ภาคภูมิใจ จากคณะจิตวิทยานานาชาติ Joint International Psychology Program (JIPP) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ Faculty of Social & Behavioral Sciences, University of Queensland จากประเทศออสเตรเลีย

มาดามแป้ง

โดยเมื่อไม่นานมานี้ “ปราง”พร้อมคุณแม่ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ “ชลรัศมีกับวีไอพี” ปีที่ 11 ออกอากาศทางช่อง 34 อมรินทร์ทีวี เกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ ซึ่งทำให้เราได้สัมผัสกับอีกมุมหนึ่งของเธอ โดยเฉพาะที่หลายคนบอกว่าเธอนั้นคล้ายคุณแม่ แต่ “ปราง” เองกลับบอกว่าทั้งนิสัยและไลฟ์สไตล์แตกต่างกันแบบคนละขั้วเลยทีเดียว

เห็นว่าตอนนี้เรียนจบแล้ว แถมคว้าปริญญามาถึง 2 ใบด้วย ?

ปราง : เดิมทีปรางเรียนที่คณะจิตวิทยา (ภาคภาษาอังกฤษ) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งทางคณะเหมือนเป็นแกมบังคับที่จะต้องให้ไปเรียนที่ออสเตรเลีย เลยทำให้ได้ปริญญามา 2 ใบ

นวลวรรณ พรรณเชษฐ์

ทำไมถึงเลือกเรียนด้านนี้ ?

ปราง : เพราะว่าเป็นคนไม่ชอบเลข และหลายๆ คณะต้องใช้เลข ตอนแรกหนูชั่งใจระหว่างอักษรศาสตร์กับจิตวิทยา บวกกับหนูไม่ใช่คนที่ชอบอ่านหนังสือขนาดนั้น เลยคิดว่าจิตวิทยาเหมาะกับหนูมากที่สุด เพราะหนูเป็นคนชอบพูดกับคน และหนูคิดว่าศาสตร์นี้ช่วยในชีวิตประจำวันของหนูได้ด้วย

นวลวรรณ พรรณเชษฐ์

ปรางเป็นลูกสาวที่มีความเหมือนกับคุณแม่ไหม ?

มาดามแป้ง : ไม่เหมือนเลย ทั้งไลฟ์สไตล์การกิน ปรางกินคลีน ชอบออกกำลังกาย รวมถึงนิสัย

ปราง : แม่ชอบเข้าสังคมมากกว่าหนู แต่หนูชอบที่จะอยู่กับธรรมชาติสัตว์ป่ามากกว่า

นวลวรรณ พรรณเชษฐ์

กว่าจะเป็นมาดามแป้งต้องเจออุปสรรคใหญ่มากมาย แม่ลูกมีวิธีให้กำลังใจกันและกันอย่างไรบ้าง ?

ปราง : จริงๆ ก็ให้กำลังใจกันตลอดถ้ามีโอกาส แต่อาจจะไม่ค่อยได้แสดงให้เห็นเท่าไหร่ เหมือนเราสองคนเป็นผู้หญิงที่แมนทั้งคู่ อีกอย่างหนูไม่ใช่สายร้องไห้ดราม่า แบบต้องกอดปลอบประโลมอะไรขนาดนั้น ก็คือพูดว่าสู้ๆ หรือโอเคมันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป มูฟออนและทำวันข้างหน้าให้ดีขึ้น

แล้วสไตล์การแต่งตัวเหมือนกันไหม แบ่งปันกันบ้างหรือเปล่า ?

ปราง : ไม่แบ่งนะคะ ส่วนใหญ่คุณแม่จะให้เลย แต่ละชิ้นค่อนข้างมีมูลค่าสูง ซึ่งบางทีก็ให้ของที่คุณแม่ก็ยังหวงอยู่

มาดามแป้ง : ปรางเป็นคนที่เลือกของนานมาก ส่วนพี่เป็นคนตัดสินใจเร็วมาก

ปราง : คือหนูจะเลือกของที่แต่งได้ในชีวิตประจำวัน เพราะส่วนตัวเป็นคนไม่แต่งตัวเยอะ เครื่องประดับส่วนใหญ่จะเป็นชิ้นเล็กๆ

มาดามแป้ง : พี่ชอบสะสมต่างหู พอปรางเขาเห็น เขาเลยบอกว่าถ้าแม่ยกให้หนู หนูจะขายให้หมดเลย พี่เลยตัดสินใจว่า จะชิงขายก่อนที่ลูกจะได้เอาเงินมาใช้เอง (หัวเราะ)


ข้อมูลจาก :รายการ “ชลรัศมีกับวีไอพี” ปีที่ 11 ออกอากาศทางช่อง 34 อมรินทร์ทีวี

The post ขั้วตรงข้าม “ปราง-นวลวรรณ พรรณเชษฐ์” ลูกสาวคนเก่งของ มาดามแป้ง appeared first on Praew (แพรว) – All Luxe You Can Reach.

มิก้า เผย เทย่า โรเจอร์ คือคนที่ใช่ตั้งแต่วินาทีแรก เตรียมปั๊มทายาทหลังแต่งทันที

$
0
0

ฉลองวิวาห์หวาน มิก้า เผย เทย่า โรเจอร์ คือคนที่ใช่ตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้พบกัน ไม่คิดว่าจะมีโอกาสจนมาถึงวันนี้ หลังแต่งเตรียมปั๊มทายาททันที อยากมีลูกมาเตะฟุตบอลด้วยกัน

หลังจากจัดพิธีวิวาห์หวานเคล้าบรรยากาศริมทะเลที่ จ.ภูเก็ต เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน ซึ่งงานในวันนั้นมีเฉพาะญาติพี่น้องคนสนิทมาร่วมงานเท่านั้น ล่าสุด เทย่า โรเจอร์ และ มิก้า ชูนวลศรี ก็ได้ฤกษ์ฉลองงานมงคลสมรสอีกครั้ง โดยครั้งนี้จัดขึ้น ณ เดอะกลาสเฮ้าส์ ปาร์คนายเลิศ บรรยากาศต้องบอกเลยว่าหวานไม่แพ้กันกับธีม “Written In The Stars” ดาวระยิบระยับที่เจ้าสาวชื่นชอบ

ทั้งคู่ยังได้เปิดใจถึงความรู้สึกที่อิ่มเอมหัวใจในงานแต่งริมทะเลที่จัดขึ้นไปหมาดๆ พร้อมกับเผยถึงแพลนในอนาคตอย่างการปั๊มทายาท ให้กับสื่อมวลชนฟังอีกด้วยว่า…

เทย่า โรเจอร์

เทย่า : มีความสุขมากค่ะ เพราะเราแพลนกันมา 1 ปีเต็มๆ จนกระทั่งได้มีงานแต่งที่จังหวัดภูเก็ต และวันนี้ก็ได้ฉลองวิวาห์กันที่กรุงเทพฯ มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกจริงๆ

มิก้า : ตลอดระยะเวลา 5 วันที่ผ่านมา ผมคิดว่าน่าจะเป็น 5 วันที่ผมมีความสุขที่สุดแล้วมั้งครับ ได้เจอครอบครัวของเราทั้งคู่ ได้เจอเพื่อนๆ ทั้งในไทยและต่างประเทศ เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากจริงๆ

เทย่า : สำหรับงานที่ภูเก็ต เราก็จัดกันแบบเล็กๆ นะคะ มีแค่คนในครอบครัวกับเพื่อนสนิทมาร่วมงาน (ยิ้ม) ซึ่งพิธีก็จะเป็นสไตล์ฝรั่งคล้ายๆ กับที่เห็นในภาพยนตร์เลย มีคุณพ่อส่งตัวเจ้าสาว มีการแลกแหวน แลกคำมั่นสัญญา เป็นพิธีง่ายๆ สั้นๆ ไม่ยาวมากค่ะ

เทย่า : คำสัญญาที่เรามอบให้กันอันนี้เทย่าเป็นคนขอเลยว่า ‘จะต้องเขียนเอง’ เพราะเทย่ารู้สึกว่ามันสำคัญกว่าการที่เราไปดึงมาจากอินเทอร์เน็ต

มิก้า : ผมใช้เวลาเขียนอยู่ 8 เดือน จนสุดท้ายผมมาเขียนได้ 2 วัน ก่อนที่จะถึงวันแต่งงาน ซึ่งมันออกมาเองจากความรู้สึกแบบตรงๆ เลย ก็ถือว่าทุกอย่างออกมาด้วยดี (ยิ้ม) เป็นการสัญญาต่อความรู้สึกที่มีให้กันในใจตลอด 4 ปี และสัญญาถึงชีวิตคู่ของเราในอนาคตด้วย

เทย่า : ส่วนตัวเทนย่าก็ให้สัญญากับเขาหลายอย่าง และก็มีมุมตลกๆ ขำๆ บ้างเพื่อไม่ให้มันหวานจนเลี่ยน (หัวเราะ) แต่ก็พยายามสัญญาให้เข้ากับชีวิตประจำวันของเรามากที่สุด ดูแลกันและกัน เป็นกำลังใจให้กันไปตลอด

เทย่า โรเจอร์

พิธีฉลองในวันนี้เป็นอย่างไร ธีมงานเป็นแบบไหน และหลังจากนี้แพลนชีวิตคู่คิดไว้ว่าจะทำอะไรบ้าง ?

เทย่า : ธีมงานวันนี้ชื่อว่า Written In The Stars มีความเป็นดวงดาวค่ะ (ยิ้ม) ส่วนแพลนฮันนีมูนตอนนี้เรายังคุยกันอยู่เลยว่าจะมีเวลาไปหรือเปล่า ลังเลอยู่ค่ะว่าจะไปทะเลหรือไปที่ไหนกันดี

มิก้า : แต่ถ้าไปก็น่าจะไปอิตาลีครับ รวมถึงประเทศอื่นแถบยุโรป อยากไปดูบอล (หัวเราะ)

มิก้า : ส่วนเรื่องลูกก็อยากจะมีตั้งแต่เมื่อวานแล้วครับ เทย่าเขาก็ทราบ คือผมอยากให้ลูกได้มาเห็นผมที่สนามบอล ให้เราได้เตะบอลด้วยกัน แต่ไม่ต้องรีบก็ได้ เพราะถึงอย่างไรก็อยากให้เขาดูให้เหมาะกับงานของเขาด้วย

เทย่า : จริงๆ เทย่าก็อยากถ่ายภาพยนตร์ หรือละครอีกสักเรื่องก่อนนะคะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็แล้วแต่เลย เทย่าไม่ได้ซีเรียส เพราะจริงๆ เทย่าก็พร้อม แต่ก็ไม่ได้รีบ (ยิ้ม)

มิก้า : ผมอยากมีลูก 2 คน ผมคิดว่า 2 คน น่าจะกำลังดี เพราะผมเองก็โตมาแบบมีพี่น้องด้วย

เทย่า โรเจอร์

ประทับใจอะไรในตัวของกันและกันบ้าง ?

มิก้า : ผมรู้สึกว่าเขาคือคนที่ใช่ตั้งแต่วันแรกที่ผมได้เจอกับเขา ผมถึงกับบอกเพื่อนของผมเลยนะว่านี่แหละคือผู้หญิงที่ถ้าเจอจะต้องแต่งงานด้วย ผมจริงจังมาก แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดเลยนะว่าจะมีโอกาสได้คบกับเขา หรือจะได้แต่งงานกับเขา เพียงแค่ผมรู้ตั้งแต่วินาทีนั้นว่าสำหรับผมเขาคือคนที่ใช่ เป็นคนที่ใช่จริงๆ

เทย่า : ความรู้สึกของเทย่ามันอาจจะไม่ได้ชัดเจนขนาดนั้นในตอนแรก เพียงแต่ว่าสำหรับเราทุกอย่างที่เราทำด้วยกันมันไปได้ด้วยดี ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เราชอบหรือกิจกรรมที่เราทำร่วมกัน แต่ว่าการหลงรักมิก้าของเทย่า มันเหมือนกับความรู้สึกของเราตอนที่กำลังจะหลับ มันเป็นความรู้สึกที่ไม่รู้ตัว ทุกอย่างมันเกิดขึ้นช้าๆ จนกระทั่งเรารู้สึกว่าเรารักเขา และเมื่อมันมาถึงตอนนั้นมันก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว รักแล้วรักเลย (ยิ้ม)

มิก้า : 4 ปีที่ผ่านมา ทุกอย่างที่เราทำด้วยกันเราสนุกในทุกช่วงเวลา แม้กระทั่งช่วงที่เรามีปัญหาเราก็แก้ด้วยกัน ถึงอย่างไรผมก็จะดูแลเขาตลอดไป ผมเชื่อว่าเขารู้อยู่แล้วว่าสำหรับผมเขาคือทุกสิ่งทุกอย่าง

เทย่า : เทย่าเชื่อว่ามีหลายคนที่รักเขาค่ะ แต่เทย่ารักเขามากที่สุด และเทย่าก็จะเป็นแฟนหมายเลข 1 ของเขา ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ตาม เทย่าจะเชียร์เขาตลอดเวลาค่ะ


 

The post มิก้า เผย เทย่า โรเจอร์ คือคนที่ใช่ตั้งแต่วินาทีแรก เตรียมปั๊มทายาทหลังแต่งทันที appeared first on Praew (แพรว) – All Luxe You Can Reach.

สวยเก่งไม่แพ้ไอดอลเกาหลี แอลลี่ เดบิวต์ในฐานะศิลปินคนแรก 411 MUSIC

$
0
0

“กึ้ง-เฉลิมชัย” ทุ่มเวลานับปีสร้าง 411 MUSIC เต็มสูบ ส่ง แอลลี่ ประเดิมเปิดค่าย เผยกลยุทธ์ดันวงการเพลงและศิลปินไทย เติบโตในมาตรฐานสากล

411 MUSIC

วงการเพลงคึกคักส่งท้ายปี กระแสดีถล่มทลายจนแฮชแท็ก #ลูกสาวมาแน่ ขึ้นเทรนด์ทวิตเตอร์อันดับท็อปทรี (TOP3) ของประเทศไทยยาวนานร่วม 5 ชั่วโมงกันไปเลย นับตั้งแต่วันแรกที่ค่ายเพลงน้องใหม่ย่านชิดลมอย่าง “โฟร์ วัน วัน มิวสิก” (Four One One Music หรือ 411 Music) นำทีมโดยเจ้าพ่อเอ็นเตอร์เทนเม้นท์แห่งชาติ “กึ้ง–เฉลิมชัย มหากิจศิริ” เผยโฉมศิลปินเบอร์แรกสุดปัง “แอลลี่-อชิรญา นิติพน” ทายาทนักร้องชื่อดัง ” อ่ำ-อัมรินทร์ นิติพน” และ “จอย-อัจฉริยา อังคสุวรรณศิริ” นั่นเอง

411 MUSIC
หลังจากเดินทางโลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงเมืองไทยมาเป็นเวลาครบ 11 ปีเต็ม สำหรับ บริษัท โฟร์ วัน วัน เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (Four One One Entertainment Co.,Ltd.) ที่ทั้งจัดหา อิมพอร์ต เนรมิตโชว์ต่างๆ หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นคอนเสิร์ตหรืองานแฟนมีตติ้งของศิลปินไอดอลบอยแบนด์สุดฮิต เกิร์ลกรุ๊ปสุดฮ็อต รวมไปถึงดารานักแสดงชื่อดังที่บินลัดฟ้าจากเกาหลีมาเอาใจแฟนคลับชาวไทยอย่างต่อเนื่อง

โดยทุกงานผ่านการคัดสรรและกลั่นกรองมาจากซีอีโอมากความสามารถอย่าง กึ้ง-เฉลิมชัย มหากิจศิริ ซึ่งตั้งเป้าหมายสูงสุดของบริษัทไว้ เพื่อทำให้ทุกคนมีความสุขในทุกโชว์ที่เกิดขึ้น และวันนี้กับก้าวต่อไปของ โฟร์วันวันฯ ที่ทุกคนต่างกำลังจับตามองกับปรากฏการณ์ครั้งใหม่ และจะเป็นครั้งที่สะเทือนทั้งวงการบันเทิงเมืองไทยเป็นแน่

คิดอย่างไรมาทำค่ายเพลง ?

“ผมว่าถ้าผมไม่ก้าวไปทำอะไรในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน เราก็จะไม่ได้เจอ ไม่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ นั่นทำให้ 411 ของเรามี 11 ปีในวันนี้ มาวันนี้เราอยากจะนำสิ่งที่เราได้เรียนรู้ ได้สั่งสมประสบการณ์มาทำให้กับวงการดนตรีไทย วงการเพลงไทย เราอยากจะเอาเด็กไทยที่มีพรสวรรค์และมีพรแสวง ไปอยู่ในแพลตฟอร์มการเรียนรู้ที่ดี แต่การที่จะไปถึงแบบนั้นได้ เราก็ต้องเรียนรู้จากคนที่ทำได้ก่อน แล้วเราก็จะใช้องค์ความรู้นั้นมาใส่ศิลปินไทย มาใส่เพลงไทย เพื่อที่ในอนาคตหวังว่าเราจะมีเพลงไทย ภาษาไทยไปสู่ระดับโลกได้บ้าง ที่ผ่านมาเราทำให้แฟนคลับคนไทยมีความสุขมาแล้ว เราจึงอยากจะทำให้กับศิลปินคนไทยบ้าง อยากจะทำให้พวกเขาได้โชว์ความสามารถสู่ตลาดโลกบ้าง เลยเป็นที่มาของ 411 Music”

มีความพร้อมระดับไหน ?

“เป็นสิ่งที่ฝันอยากทำมานานแล้ว เป็นอีกก้าวย่างในการสานฝันให้เด็กไทยที่มีศักยภาพ มีพรสวรรค์ และพร้อมที่จะพัฒนาตัวเอง บวกกับประสบการณ์ที่บริษัทได้มีโอกาสเก็บเกี่ยวมานาน 11 ปี โดยเด็กไทยจะได้รับการฝึกฝน ขัดเกลา และเข้าคอร์สที่อยู่ในมาตรฐานเดียวกันกับศิลปินเกาหลีที่ประสบความสำเร็จ ย้ำว่า ‘มาตรฐานเดียวกัน’

ทำไมวันนี้ศิลปินเกาหลีถึงประสบความสำเร็จไม่ใช่แค่ในเกาหลีอย่างเดียว ไม่ใช่แค่ในเอเชียอย่างเดียว แต่ไปไกลถึงยุโรป-อเมริกาได้ ผมเชื่อว่าทุกอย่างคือการลงทุน แต่ว่าสิ่งที่เกาหลีเขาลงทุน นอกจากพรสวรรค์และพรแสวงของเด็กแต่ละคนแล้ว เขายังมีแพลตฟอร์มการเรียนรู้ตั้งแต่เล็กๆ ซึ่งผมเชื่อว่าถ้าคนไทยได้ฝึกฝนในรูปแบบเดียวกัน เด็กไทยของเราไม่มีทางจะแพ้คนชาติใดในโลกเลย”

ทำไมเลือกศิลปินเบอร์แรกเป็นผู้หญิง ? ไม่กลัวความเสี่ยง ?

“เราไม่ได้จำกัดขีดความสามารถของคนว่าคุณเป็นเพศไหน จะเป็นผู้หญิง ผู้ชาย หรือเพศทางเลือก ถ้ามีความสามารถ มีความตั้งใจ มุ่งมั่นที่จะเดินตามฝันของตัวเอง รวมถึงพร้อมที่จะฝึกฝนและพัฒนาตนเอง เรามองว่าคนเหล่านั้นคือคนที่เหมาะสม และวันนี้เราได้ส่งเด็กไทยของเราไปเรียนรู้และใช้ชีวิตอยู่กับทีมงานคุณภาพที่เคยสร้างผลงานระดับโลกมาแล้ว

น้องแอลลี่เป็นหนึ่งในนั้นครับ นอกจากแอลลี่ที่จะเป็นศิลปินเบอร์แรกของ 411 Musicแล้ว เรายังมีน้องๆ เทรนนี่อีกหลายคน และหลายเจเนอเรชั่น ซึ่งกำลังฝึกฝนอยู่ที่เกาหลี ฝากติดตามผลงานศิลปินทุกคนของ 411 Musicด้วยนะครับ”

หรือนี่จะเป็นยุคที่วงการเพลงในบ้านเราจะกลับมาบูมอีกครั้ง ไอดอลคนใหม่กำลังรอแจ้งเกิดหรือไม่ ร่วมลุ้นเอาใจช่วย และกด SUBSCRIBE YouTube 411ent https://www.youtube.com/411ent เพื่อรอฟังผลงานเพลงในฐานะ Solo Artist ของ “แอลลี่ (Ally) – อชิรญา นิติพน” และติดตามความเคลื่อนไหวเพิ่มเติมจาก 411 Musicได้ทางออฟฟิเชียลแฟนเพจ www.facebook.com/fouroneoneent ทวิตเตอร์ @411ent และอินสตาแกรม IG @411ent https://instagram.com/411ent

The post สวยเก่งไม่แพ้ไอดอลเกาหลี แอลลี่ เดบิวต์ในฐานะศิลปินคนแรก 411 MUSIC appeared first on Praew (แพรว) – All Luxe You Can Reach.

ความสุขฉบับผู้ให้ “พาย-ภาริอร วัชรศิริ” หญิงแกร่งผู้เติมเต็มชีวิตด้วยการแบ่งปันกำลังใจ

$
0
0

กำลังใจที่มีค่าที่สุดในแบบฉบับของคุณคืออะไร บางคนอาจมีคำตอบอยู่ในใจแล้ว ในขณะที่บางคนอาจยังหาคำตอบไม่ได้ หรือกำลังค้นหาอยู่ แต่สำหรับผู้หญิงคนนี้ “พาย-ภาริอร วัชรศิริ” นักเขียนหญิงแกร่งผู้มุ่งมั่นกับการแบ่งปันกำลังใจ เพื่อเติมเต็มความสุขให้กับชีวิตในแบบฉบับของตัวเอง 

เธอค้นพบคุณค่าของการส่งต่อกำลังใจ ด้วยการถ่ายทอดเรื่องราวของตัวเองผ่านหนังสือ How I love MY MOTHER กับประสบการณ์ที่เธอต้องเปลี่ยนชีวิตแบบไม่ทันตั้งตัวในวัยเพียง 16 ปี เพราะคุณแม่ป่วยเป็นอัมพฤกษ์ พลิกชีวิตจากวัยรุ่นที่ถูกตามใจมาตลอด กลายเป็นผู้ดูแลคุณแม่ที่ป่วยแบบเต็มตัว และปรับมุมมองเพื่อเก็บเกี่ยวความสุขจากปัญหาที่ต้องเผชิญ 

แม้ความสุขของเธอจะแตกต่างจากความสุขของคนทั่วไป แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่า สิ่งที่เธอทำ ช่วยสร้างกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ให้กับเพื่อนมนุษย์อีกหลายๆ คนได้ แพรวดอทคอม จึงอยากพาทุกคนไปสัมผัสตัวตนและก้นบึ้งหัวใจของผู้หญิงคนนี้กัน

ตอนนั้นด้วยวัยเพียง 16 ปี พอรู้ว่าคุณแม่ป่วยเป็นอัมพฤกษ์ คุณพายรับมือกับเหตุการณ์ต่างๆ อย่างไร 

พายขอเล่าให้ฟังก่อนว่า การที่แม่ป่วยเป็นอัมพฤกษ์เกิดจากการที่เขาล้ม จากนั้นพายจึงรีบพาแม่ไปโรงพยาบาลด้วยความตกใจ ซึ่งจากการล้มนั้น ทำให้แม่มีอาการชาครึ่งซีก ลิ้นแข็ง ร่างกายอ่อนแรง และเส้นเลือดในสมองแตก ทำให้ต้องเข้ารับการผ่าตัด หลังจากนั้นแม่ก็กลายเป็นอัมพฤกษ์ครึ่งซีก ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ 

ตอนนั้นพายอายุ 16 ปี เพิ่งเรียนอยู่ ม.ปลาย ซึ่งพายเป็นเด็กที่แม่สปอยล์มาทั้งชีวิต เพราะฉะนั้นการเจอเหตุการณ์แบบนี้จึงช็อคโลกพายมาก เหมือนทุกอย่างพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ พายปรับตัวไม่ทัน ช่วงแรกๆ ต้องใช้เวลาในการปรับตัวนานมาก เรียกว่าเป็นการปรับตัวก่อนปรับวิธีคิด ไลฟ์สไตล์ของพายเปลี่ยนไป จากที่เป็นคนรับและได้ทุกอย่างมาตลอด กลายเป็นคนที่ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง และต้องทำให้แม่ด้วย ซึ่งในการปรับตัวนั้นค่อนข้างยาก มีความทุลักทุเลอยู่พักหนึ่งเลยทีเดียว เพราะพายเป็น Caregiver ที่เริ่มจากไม่มีความรู้อะไรเลย ต้องค่อยๆ ลองผิดลองถูก สักพักใหญ่ๆ เลยกว่าจะปรับตัวได้ พอปรับตัวได้ จึงค่อยๆ เริ่มปรับวิธีคิด เพราะการดูแลคนป่วยเป็นงานที่เจาะจงไม่ได้ว่าจะจบเมื่อไหร่ ต้องทำไปตลอด ต้องทำไปเรื่อยๆ ไม่เหมือนกับการเรียนหนังสือหรือการทำงานบางอย่าง 

เคยรู้สึกน้อยใจบ้างไหม ที่ไม่ได้ใช้ชีวิตวัยรุ่นเหมือนเพื่อนวัยเดียวกัน

รู้สึกแน่นอน และมากๆ เลยค่ะ (หัวเราะ) โดยเฉพาะในช่วงแรกๆ ที่พายดูแลแม่ได้สักพักหนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่พายเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เพราะพายได้เห็นเพื่อนๆ ทำกิจกรรมของคณะกัน ไปแฮงค์เอ้าท์กัน รวมถึงช่วงที่เรียนจบ เริ่มทำงาน มีเงินเดือน พายได้เห็นเพื่อนบางคนเก็บตังค์ไปเที่ยวต่างประเทศ แต่พายแทบไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นเลย เพราะพายกลับบ้านดึกไม่ได้ อย่างเวลาไปเรียนก็ต้องรีบกลับบ้านมาดูแลแม่ พอเรียนจบ ทำงาน พายหาเงินได้เหมือนเพื่อนเลย แต่ไม่สามารถใช้เงินได้เหมือนเพื่อน เพราะพายต้องเอาเงินไปดูแลคนป่วย ซึ่งนั่นก็คือแม่ของพาย 

พายมีความน้อยใจ ความอึดอัดใจ ลามไปจนถึงความอิจฉานิดๆ แต่พายพยายามปรับเปลี่ยนวิธีคิด โดยคิดเสมอว่าเราทำสิ่งนี้เพื่ออะไร เราหรือใครที่จะได้อะไรจากสิ่งที่เราทำบ้าง อย่างการดูแลแม่ที่พายทำอยู่ พายทำเพื่อให้แม่มีความสุขที่สุด แม่จะรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า เป็นที่รักของลูก ซึ่งนั่นทำให้แม่เป็นคนป่วยที่มีจิตใจแข็งแรง มีความสุข มีชีวิตอยู่ได้ยาวนาน ซึ่งสิ่งเหล่านี้แหละที่ตอบแทนพายกลับมา ทำให้พายรู้สึกว่าสิ่งที่พายทำก็มีคุณค่าไม่ต่างจากสิ่งที่คนอื่นทำ และเป็นความสุขอย่างหนึ่งในแบบฉบับตัวเอง เพราะพายรู้ว่ากำลังทำบางอย่างเพื่อคนที่พายรักนั่นเอง

เคยรู้สึกเหนื่อยจนท้อบ้างไหม แล้วผ่านมาได้อย่างไร 

มีค่ะ พายถึงขั้นเคยรู้สึกอยากฆ่าตัวตายเลยนะ เพราะสำหรับเด็กอายุ 16 ปี กับการดูแลคนป่วย ในระยะเวลา 11 ปี มันหนักหนาสาหัส แม้จะบอกว่าเป็นช่วงเวลาที่มีความสุข แต่ก็มีความเหนื่อยกายและเหนื่อยใจอยู่มาก โดยเฉพาะช่วงที่ใจไม่แข็งพอ ก็รู้สึกท้อได้เป็นธรรมดา ซึ่งถ้าเราดึงตัวเองขึ้นมาไม่ได้ ก็จะรู้สึกดิ่งดาวน์อยู่แบบนั้น 

จุดหนึ่งที่คนดูแลคนป่วยต้องระวังคือ พอเราดูแลคนป่วย ไลฟ์สไตล์ของเราจะป่วยตามเขาไปด้วย เพราะเราไม่มีเวลาเหมือนคนอื่น ไม่สามารถใช้เงินได้เหมือนคนอื่น ซึ่งเป็นข้อจำกัดของเรา เพราะฉะนั้นเวลาที่ท้อ ก็ต้องพยายามสร้างเสริมกำลังใจ ซึ่งกำลังใจที่ดีที่สุดสำหรับพายคือ การสร้างเสริมกำลังใจด้วยตัวเอง ปรับเปลี่ยนวิธีคิด และรับกำลังใจจากคนรอบตัว บวกกับรับกำลังใจดีๆ จากแม่  เพราะพายรู้สึกว่าทุกครั้งที่พายดูแลแม่ แสดงความรักต่อแม่ แม่ก็จะทำสิ่งนั้นกลับมาให้พายเสมอ ทำให้พายรู้สึกได้กำลังใจกลับคืนมา รู้สึกว่าสิ่งที่ทำไปไม่สูญเปล่า

อีกหนึ่งวิธีคิดในการให้กำลังใจตัวเองของพายคือ พายจะรู้สึกนับถือตัวเองมากๆ ที่ทำทุกอย่างได้ถึงขนาดนี้ ทั้งๆ ที่มีทางเลือกอื่นอีก แต่พายก็เลือกที่จะอยู่ตรงนี้ เลือกที่จะดูแลแม่อย่างเต็มใจและเต็มที่ ซึ่งความภูมิใจและการนับถือตัวเองในวินาทีที่ท้อ ทำให้พายคิดได้ว่าจริงๆ แล้วฉันก็เป็นคนเก่งคนหนึ่งเหมือนกันนะ (หัวเราะ) ฉันทำไหว ฉันไปต่อได้

หลังจากเผชิญปัญหานี้ คิดว่านิสัยของตัวเองเปลี่ยนแปลงไปบ้างไหม 

เปลี่ยนไปเยอะมากๆ ค่ะ เรียกว่าในทุกๆ มิติเลย ทั้งนิสัย ตัวตน และความคิด รวมถึงมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ทั้งตอนที่ดูแลแม่ และตอนที่แม่เสียไปแล้ว โดยตอนที่ดูแลแม่ พายรู้สึกว่าพายสามารถจัดการเวลาได้ดีขึ้น เพราะใน 24 ชั่วโมง พายไม่ได้ทำเพื่อตัวพายคนเดียว แต่พายต้องแบ่งเวลาในการดูแลแม่ ทั้งอาบน้ำ ป้อนข้าว 3 มื้อ พาแม่ไปโรงพยาบาล ซึ่งพอเวลา 24 ชั่วโมงของพายไม่เหมือนคนปกติ พายจึงจัดการเวลาและวางแผนล่วงหน้าในการทำสิ่งต่างๆ ได้ดีขึ้นมาก อีกทั้งพายยังรู้จักใช้เงิน รู้จักเก็บเงิน เพราะพายต้องเก็บเงินไว้ดูแลแม่ 

นิสัยอีกอย่างที่เห็นชัดมาก คือจากคนที่โลกหมุนรอบตัวเอง เพราะแม่สปอยล์มาตลอด หลังจากเจอเหตุการณ์นี้พายกลายเป็นคนที่แคร์คนอื่น แคร์ความรู้สึก แคร์เรื่องราวของคนอื่นมากขึ้น รวมถึงชอบดูแลคนอื่นในเชิงปฏิบัติ ไม่ใช่แค่การรับฟังเท่านั้น และพายยังได้เรียนรู้ว่าเราไม่มีทางรู้ล่วงหน้าได้เลยว่าใครจะจากเราไปวันไหน ดังนั้นนิสัยแบบผัดวันประกันพรุ่ง หรือไม่ทุ่มเทอย่างเต็มที่กับอะไรสักอย่าง จะทำให้เรารู้สึกผิดและเสียดายไปตลอดชีวิต ถ้าวันหนึ่งเราต้องสูญเสียมันไป เพราะแบบนี้พายจึงดูแลแม่อย่างสุดตัวและสุดหัวใจ ซึ่งพอแม่เสียไป นิสัยหรือมุมองของพายก็เปลี่ยนไปอีก พายได้เรียนรู้ถึงความรู้สึกโล่งใจ สบายใจ เพราะพายทำเต็มที่อย่างดีที่สุดในช่วงเวลาที่แม่ยังอยู่ 

มาถึงตอนนี้แล้ว เป้าหมายชีวิตเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง

ถ้าพูดกันตรงๆ คือเปลี่ยนไปค่ะ เพราะตอนที่ดูแลแม่ เป้าหมายหลักคือการทำให้แม่อยู่อย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี เป็นคนป่วยที่อารมณ์ดีและมีอายุยืน แต่พอแม่เสียไป พายก็สูญเสียเป้าหมายนั้นไปด้วย ความรู้สึกเหมือนงานจบแล้ว ตอนนี้พายจึงเปลี่ยนเป้าหมายมาโฟกัสกับการทำงาน และพยายามแชร์ประสบการณ์ของตัวเองให้เกิดประโยชน์กับคนอื่น เพราะพายรู้สึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับพายนั้น ทั้งการที่แม่ป่วยเป็นอัมพฤกษ์และการที่เสียแม่ไป ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นกับพายแค่คนเดียว อีกทั้งพายไม่ใช่คนแรกและคนสุดท้ายที่เจอเรื่องนี้แน่นอน ซึ่งคงจะดีมากๆ ถ้าพายได้ส่งต่อประสบการณ์ ความรู้ วิธีคิด หรืออารมณ์บางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อให้เป็นประโยชน์กับคนอื่นๆ ต่อไป ซึ่งวันหนึ่งเขาอาจจะต้องเจอเรื่องนี้เหมือนพาย แต่เขาจะได้ประโยชน์และกำลังใจจากเรื่องราวของพาย ทำให้เขาไม่ต้องเป็น Caregiver ที่เริ่มต้นจากศูนย์เหมือนพาย

ทำไมถึงตัดสินใจถ่ายทอดเรื่องราวของตัวเองเป็นหนังสือ 

พายเป็นคนชอบเขียน และคิดในใจเสมอว่าสักวันหนึ่งอยากมีหนังสือของตัวเอง แต่โอกาสนั้นก็ไม่ได้มาถึงง่ายๆ คือพายไม่ได้เริ่มจากการเขียนต้นฉบับ เพื่อส่งให้สำนักพิมพ์ตีพิมพ์เป็นหนังสือ แต่พายเริ่มจากการบันทึกเรื่องราวหรือบทสนทนาที่เกิดขึ้นตอนดูแลแม่ลงในเฟซบุ๊ก ซึ่งพายทำมาเรื่อยๆ จนเห็นว่าหลายๆ คนรู้สึกดีกับสิ่งที่พายทำ พายได้รับกำลังใจจากตรงนั้น และอีกอย่างคือพายค้นพบว่ามีคนที่เจอปัญหานี้เหมือนพาย ทำให้สิ่งที่พายเขียนเป็นประโยชน์ต่อพวกเขา เพราะพวกเขาสามารถนำเรื่องราวของพายไปปรับใช้กับตัวเองได้ ช่วยเปลี่ยนวิธีคิดหรือพฤติกรรมของพวกเขาได้ ทั้งหมดนี้ทำให้พายอยากออกเป็นหนังสือ สุดท้ายด้วยความโชคดีพายจึงมีหนังสือ How I love MY MOTHER ออกมา  

หนังสือของพายไม่ใช่หนังสือ How to ที่บอกว่ารักแม่สิจ๊ะ แล้วผลลัพธ์จะเท่ากับครอบครัวมีความสุขจังเลย แต่เป็นการแชร์ประสบการณ์ชีวิตของคนๆ หนึ่ง ซึ่งอยากให้อ่านแล้วนำไปตีความชีวิตด้วยวิธีคิดในแบบของตัวเอง เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตของแต่ละคนไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยสูตรเดียวกัน และพายเชื่อว่าถ้าเขาได้ตกตะกอนความคิดในแบบของตัวเองจะเกิดผลดีที่สุด

รู้สึกอย่างไรบ้าง ที่หนังสือ How I love MY MOTHER ประสบความสำเร็จในการช่วยสร้างกำลังใจดีๆ ให้กับผู้อ่าน 

พายขอใช้คำว่า พายอบอุ่นใจกับมัน แทนที่จะตอบว่าดีใจ เพราะหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่หนังสือ Best seller หรือตีพิมพ์ซ้ำหลายรอบ แต่หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์แค่ครั้งเดียว แล้วก็ขายแค่ครั้งเดียว ซึ่งสิ่งที่พายได้กลับมาเยอะมากจากเสียงตอบรับของหนังสือเล่มนี้ คือการที่คนอ่านแสดงออกอย่างชัดเจนผ่านช่องทางต่างๆ ทั้งอีเมล อินบ็อกซ์ และจดหมาย ว่าเขาเปลี่ยนแปลงตัวเองเกี่ยวกับความสัมพันธ์ต่อคนในครอบครัว เพื่อน หรือคนรักอย่างไรบ้าง จากการที่เขาอ่านหนังสือของพาย ซึ่งพายรู้สึกว่ามันเป็นรางวัลสูงสุดของชีวิตสำหรับนักเขียนหนังสืออย่างพาย ที่ช่วยทำให้คนๆ หนึ่งเปลี่ยนไป หรือใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากขึ้น ด้วยการส่งต่อกำลังใจให้แก่กันและกัน

อีกทั้งพายยังรู้สึกดีใจมากๆ ที่หนังสือ How I love MY MOTHER ของพายเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นให้ทุกคนเห็นถึงความสำคัญของการให้กำลังใจต่อกัน ตามแนวคิดของ “โครงการรณรงค์ส่งเสริมกำลังใจในสังคม” ของโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ โดยเป้าหมายของโครงการกับความตั้งใจของพายมุ่งไปในทิศทางเดียวกัน อย่างพายที่ไม่ได้สนใจเฉพาะเรื่องวิธีการต่างๆ เช่น การดูแล การรักษา การใช้ชีวิตประจำวันของคนป่วย และ Caregiver เท่านั้น แต่พายแคร์ไปถึงใจของคนเหล่านี้ด้วย เพราะพายเข้าใจดีว่าเรื่องยากต่างๆ ที่ต้องเผชิญ จะผ่านไปได้ง่ายขึ้นและดีขึ้น ด้วยการส่งต่อพลังใจ ส่งต่อความเข้าใจ และส่งต่อกำลังใจให้แก่กันและกัน ซึ่งในฐานะที่พายผ่านจุดนั้นมาแล้ว จึงยิ่งเชื่อในสิ่งนี้ และอยากส่งต่อกำลังใจที่เข้าใจแบบนี้ เพื่อให้เกิดสิ่งดีๆ ยิ่งๆ ขึ้นไป

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ #กำลังใจที่เข้าใจ กับโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ โดยการส่งต่อกำลังใจถึงคนรอบข้างด้วยความเข้าใจ ผ่านทางเว็บไซต์ www.siphhospital.com/kumlungjai

The post ความสุขฉบับผู้ให้ “พาย-ภาริอร วัชรศิริ” หญิงแกร่งผู้เติมเต็มชีวิตด้วยการแบ่งปันกำลังใจ appeared first on Praew (แพรว) – All Luxe You Can Reach.

กว่าจะถึงฝัน ว่าที่หมอทหาร “วรวิทย์ คงบางปอ”อดีตเด็กเกเร ทำแม่เสียใจ จนต้องเรียน กศน.

$
0
0

อีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ “อาร์ม-วรวิทย์ คงบางปอ” นักศึกษาแพทย์ ชั้นปีที่ 6 วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า จะถูกเรียกขานอย่างเต็มปากเต็มคำว่า “คุณหมออาร์ม” หรือ “คุณหมอวิทย์” (อีกหนึ่งชื่อเล่นที่หนุ่มคนนี้เล่าให้ฟังว่าเพื่อนๆ ติดปากเรียกกันแบบนี้มากกว่า)

จากเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีพื้นฐานชีวิตแบบบ้านๆ แต่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแอบเกเร ไม่เอาถ่าน จนถึงขั้นทำให้แม่เสียน้ำตาอย่างหนัก เพราะชีวิตพลิกผันสู่รั้ว กศน. แบบไม่ทันตั้งตัว

แต่คำว่าเด็ก กศน. ไม่ใช่อุปสรรคสำหรับเด็กหนุ่มคนนี้ เขาฮึดสู้แบบทุ่มสุดตัว เพื่อวิ่งไล่ตามความฝันในการเป็นหมอ ซึ่งเคยถูกบางคนยิ้มเยาะในความอาจหาญ แต่ไม่ว่าจะเจอสักกี่คำดูถูกดูแคลน เขาก็ไม่เคยล้มเลิกความตั้งใจ จนวันหนึ่งก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเด็ก กศน. คนแรกของประเทศไทยที่สอบติดหมอ

อีกไม่นานนี้ความพากเพียรพยายามกว่า 8 ปีของเขากำลังจะตอกย้ำความสำเร็จอีกขั้นของชีวิต กับการได้เป็นหมอเต็มตัว คว้าความฝันได้ตามความตั้งใจ และลบคราบน้ำตาในวันนั้นของแม่จนหมดสิ้น

ทำไมจู่ๆ ถึงต้องเรียน กศน. คะ

จุดเริ่มต้นมาจากการที่พ่ออยากให้เป็นทหารครับ เลยพยายามผลักดันให้ผมสอบเข้าโรงเรียนนายร้อย ช่วงเรียน ม. 3 พ่อจึงส่งผมไปเรียนกวดวิชาสำหรับติวสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยโดยเฉพาะ ซึ่งตอนนั้นส่วนตัวผมเองไม่ได้อยากเป็นทหารสักเท่าไหร่  แต่ก็ไม่มีเป้าหมายในชีวิต พ่ออยากให้เรียนอะไรก็เรียน พ่ออยากให้เป็นอะไรก็เป็น ช่วงที่ไปเรียนติวก็เลยเรียนๆ เล่นๆ และโดดเรียนบ่อยมาก ไปหลบอยู่บ้านเพื่อนบ้าง ที่อื่นบ้าง ส่วนการเรียนในโรงเรียนปกติ ก็เรียนๆ เล่นๆ เหมือนกัน ไม่ค่อยเข้าเรียน ไม่ตั้งใจเรียน

พอเรียนจบ ม. 3 ถึงเวลาสอบเข้าโรงเรียนนายร้อย ก็ปรากฏว่าสอบไม่ติด ผมก็เลยต้องเรียน ม. 4 ตามปกติต่อไปก่อนที่โรงเรียนเดิม ส่วนพ่อก็ไม่ลดละความพยายาม ยังคงส่งผมไปเรียนติวเพื่อสอบเข้าโรงเรียนนายร้อย เพราะผมยังมีสิทธิ์สอบได้อีกครั้ง ด้วยความที่ไม่อยากทะเลาะกับพ่อ เขาอยากให้ไปเรียนก็ไป แต่ตัวผมเองก็ทำเหมือนเดิม คือเรียนๆ เล่นๆ โดดเรียนเป็นประจำ จนกระทั่งสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยอีกครั้ง ก็ยังคงสอบไม่ติดเหมือนเดิม

พอสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยไม่ติดทั้ง 2 ครั้ง ครูที่ติวให้ที่โรงเรียนกวดวิชา ซึ่งผมสนิทกับเขา ก็เลยชวนมาอยู่ที่กรุงเทพฯ เพราะเขาจะย้ายมาสอนที่กรุงเทพฯ โดยครูจัดการคุยกับพ่อแม่ให้เรียบร้อย ส่วนตัวผมเองก็ต้องยอมรับว่ารู้สึกเคว้งอยู่พอสมควร ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนต่อดี จึงตัดสินใจตามเขาไป เพราะครูแนะนำว่าเผื่อมาดูลู่ทางการเรียนต่อที่นี่ได้ แต่พอเอาเข้าจริง ปรากฏว่ามาอยู่กรุงเทพฯได้แปบเดียว ยังไม่ทันได้เรียนอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ก็ต้องย้ายกลับระนอง เพราะครูติดปัญหาบางอย่าง ทำให้ต้องย้ายกลับ ซึ่งตัวผมเองก็ไม่มีญาติอยู่ที่กรุงเทพฯเลย จึงต้องย้ายกลับตามเขาไปด้วย

สุดท้ายพอย้ายกลับมาที่ระนอง ก็เกิดปัญหาขึ้น คือผมตั้งใจจะกลับไปเรียน ม. 5 ต่อที่โรงเรียนเดิม แต่เขาไม่รับ โดยให้เหตุผลว่าหน่วยกิต ม. 4 ไม่ตรง ตอนนั้นผมไปไม่ถูกเลย เพราะที่ระนองมีโรงเรียนประจำจังหวัดแค่ 2 โรงเรียน โรงเรียนเดิมไม่รับเข้าเรียน ส่วนอีกโรงเรียนหนึ่งก็จะให้ผมไปตามเรียน ม. 4 ใหม่เกือบ 20 วิชา

จุดนี้เองที่ทำให้ต้องไปเรียน กศน.

ใช่ครับ แต่ก็ไม่ถือว่าใช่ทั้งหมด เพราะยังมีอีกจุดหนึ่งที่กระทบใจผมมาก จากที่เล่าว่าโรงเรียนเดิมไม่รับผมเข้าเรียน ม. 5 โดยให้เหตุผลว่าหน่วยกิต ม. 4 ของผมไม่ตรง ทั้งๆ ที่ผมเรียนจากที่นั่น และจากพฤติกรรมที่ไม่ค่อยดีในช่วงนั้นของผม ทำให้เกิดคำพูดที่ว่า เคยบอกแล้วใช่ไหมว่าถ้าเลือกที่จะออกไปแล้ว ก็จะไม่รับกลับมาอีก

พอได้ยินแบบนี้ ด้วยความที่ผมยังเด็กและยังไม่รู้ตัวถึงความเกเรของตัวเอง จึงถามกลับไปว่า แล้วจะให้ผมทำยังไง ซึ่งเขาตอบกลับมาว่า ไม่ใช่ปัญหาของเขา ถ้าไม่มีที่เรียนก็ไปเรียน กศน. ตอนนั้นผมโกรธมาก ทำให้คิดเดี๋ยวนั้นด้วยความโมโหเลยว่า ได้ ในเมื่อท้ากันแบบนี้ เดี๋ยวจะทำให้ดู แล้วผมก็ไปสมัครเรียน กศน. วันนั้นเลย ลากพี่สาวไปเป็นเพื่อน โดยที่ไม่ได้บอกพ่อแม่ก่อนด้วย

ตอนนั้นรู้อะไรเกี่ยวกับการเรียน กศน. บ้าง

ผมรู้เหมือนที่คนส่วนใหญ่เข้าใจกัน ว่าการเรียน กศน. เป็นการเรียนเพื่อเอาวุฒิ ไม่ต้องเรียนอะไรมาก ซึ่งผมยอมรับว่าตอนนั้นก็คิดแค่นั้นจริงๆ คือเรียนเพื่อให้ได้วุฒิ ม. 6 มาก่อน แล้วจะเรียนอะไรต่อก็ค่อยว่ากันอีกที

พอกลับมาบอกพ่อแม่ เขาว่าอย่างไรบ้าง

ตอนนั้นพอผมกลับมาบอกพ่อกับแม่ แม่ก็ตกใจมาก ถึงขั้นเป็นลมไปเลย เพราะเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดปัญหาแบบนี้ขึ้นกับผม จากเด็กที่เคยมีที่เรียนในระบบตามปกติ แม้จะเกเรไปบ้าง ไม่ตั้งใจเรียน โดดเรียน ซึ่งเรื่องพวกนี้เขาพอจะทราบจากการรายงานของครูฝ่ายปกครองเป็นประจำอยู่แล้ว แต่อย่างเรื่องยกพวกตีกันหรือยาเสพติด ผมไม่เคยยุ่งเลย ทำให้ผมไม่ได้เป็นเด็กที่แย่ในสายตาแม่ขนาดนั้น

พอมาถึงจุดนี้ที่ผมกลายเป็นเด็กไม่มีที่เรียน ไม่มีหลักแหล่งแน่นอน ต้องไปเรียน กศน. แม่จึงเสียใจมาก รวมถึงพ่อด้วย แต่แม่จะหนักกว่า วันนั้นผมเห็นแม่ร้องไห้จนเป็นลมไปต่อหน้าต่อตา ซึ่งนั่นทำให้ผมเสียใจมาก หลังจากนั้นจึงมาคิดทบทวนตัวเองว่า เราทำให้พ่อแม่เสียใจขนาดนี้ จะอยู่เฉยๆ ได้ยังไง จะเรียน กศน. เพื่อให้ได้วุฒิ ม. 6 มาแค่นั้นหรอ ทีนี้เลยคิดต่อว่าต้องสร้างเป้าหมายให้กับตัวเองแล้วว่าจะเป็นอะไรดี

ทำไมเป้าหมายที่ว่านั้นถึงกลายเป็นอาชีพหมอคะ

ความอยากเป็นหมอของผม มีจุดเริ่มต้นมาจากการที่ผมเคยไปช่วยครูที่สนิททำงานเพื่อสังคม ก็ช่วงเดียวกับตอนที่ย้ายไปอยู่กรุงเทพฯนั่นเองครับ แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ผมได้ทำงานเพื่อสังคมเยอะมาก ทั้งช่วยเหลือเด็กกำพร้า ช่วยเหลือผู้ยากไร้ ทีนี้พอต้องคิดว่าตัวเองจะทำอาชีพอะไรดี ก็เลยคิดว่าอยากทำอะไรที่ช่วยเหลือคนเหล่านี้ได้ด้วย จึงคิดว่าเป็นหมอก็แล้วกัน

ตอนนั้นต้องยอมรับว่าผมคิดเอาแบบง่ายๆ แต่พอดูตามความเป็นจริงแล้ว ไม่ง่ายอย่างที่คิดเลยครับ เพราะอย่างที่บอกไปว่าผมไม่ตั้งใจเรียน โดดเรียนตลอด ดังนั้นถ้าเทียบเนื้อหาที่ต้องใช้สอบหมอ 100 เปอร์เซ็นต์ ผมมีความรู้อยู่แค่ 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

พอรู้แบบนี้แล้ว ทำยังไงต่อคะ

หลังจากนั้นผมพยายามหาข้อมูลว่า ถ้าจะสอบหมอต้องใช้ความรู้อะไรบ้าง การเรียน กศน. จะได้ความรู้แค่ไหน แล้วเอาความรู้ที่ต้องใช้ในการสอบหมอทั้งหมดมาวางแผนในการอ่านหนังสือ เพราะผมต้องอ่านหนังสือเองทั้งหมด เรียกว่าจะสะเปะสะปะไม่ได้เลย จำได้ว่าตอนนั้นต้องอ่านหนังสือขั้นต่ำวันละ 7 ชั่วโมง ภายในระยะเวลาปีครึ่งแบบไม่หยุดพักเลย เพราะผมมีเวลาจำกัด ด้วยเรื่องเกณฑ์ของอายุในการมีสิทธิ์สอบหมอ

ผมวางแผนอ่านหนังสือแบบระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว อย่างระยะสั้นคือรายวันว่าวันนี้ต้องอ่านได้แค่ไหน จากนั้นเป็นรายสัปดาห์และรายเดือน รวมถึงต้องเผื่อเวลาในการทบทวนทุกอย่างอีกรอบด้วย ซึ่งผมวางแผนเองทั้งหมด บวกกับค้นข้อสอบเก่าๆ มาลองทำ

หาข้อมูลจากที่ไหน หรือปรึกษาใครคะ

อินเทอร์เน็ตเป็นที่พึ่งเดียวของผมครับ เพราะข้อด้อยของการเรียน กศน. คือไม่มีครูแนะแนวที่มีข้อมูลการศึกษาต่อ ทำให้ตอนนั้นกูเกิ้ลกลายเป็นตัวช่วยเดียวของผม แต่ถ้าไม่มั่นใจว่าข้อมูลที่เสิร์ชเจอผิดหรือถูก ก็จะใช้วิธีโทร.ไปสอบถาม อย่างตอนที่หาข้อมูลว่าเด็ก กศน. อย่างผมสามารถสมัครสอบหมอที่ไหนได้บ้าง ผมก็โทร.ไปยืนยันข้อมูลกับที่นั้นๆ โดยตรงว่าคุณสมบัติแบบนี้สมัครสอบได้จริงไหม

อีกอย่างหนึ่งคือมีการไปเรียนพิเศษบ้างครับ แต่ที่ระนองไม่มีที่ติวเลย หมายถึงที่ติวดังๆ อย่างในกรุงเทพฯนะครับ ดังนั้นในการไปเรียนพิเศษแต่ละครั้ง ผมต้องนั่งรถตู้จากระนองไปเรียนที่สุราษฎร์ ซึ่งใช้เวลาเดินทางไปกลับ 7 ชั่วโมง ตอนนั้นจึงต้องเลือกเรียนเท่าที่จำเป็น หรือเรียนเฉพาะจุดที่ไม่เข้าใจจริงๆ เท่านั้น

ช่วงนั้นรู้สึกกดดันไหม

ตอนนั้นผมอายุ 17 เองครับ ด้วยวัยแค่นี้ ถ้าถามว่ากดดันไหม ก็ต้องตอบเลยว่ากดดันมาก เพราะผมต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองล้วนๆ ไม่มีครูแนะแนว ไม่เคยสอบหมอมาก่อน ไม่เคยรู้ว่าการสอบหมอเป็นยังไง คนใกล้ชิดก็ไม่มีใครรู้ เพราะที่บ้านไม่มีใครเป็นหมอ

โดยเฉพาะช่วงแรกๆ ผมเครียดมาก รู้สึกว่าทุกอย่างยากไปหมด แต่ทุกครั้งที่ท้อ ผมจะบอกตัวเองเสมอว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่ที่ตัวเราและการวางแผน ถ้าตัวเราคิดว่าทำได้ ก็เท่ากับทำได้ไปครึ่งหนึ่งแล้ว ยกตัวอย่างง่ายๆ หากมีคนมาถามว่าผมจะเรียนอะไร หรือจะทำอาชีพอะไร ผมไม่เคยรู้สึกอายเลยที่จะบอกใครๆ ว่าเด็ก กศน. อย่างผมตั้งใจจะสอบหมอ

แล้วเจอคำถามแบบนี้บ่อยไหม

เจอเรื่อยๆ อยู่แล้วครับ อย่างเพื่อนหรือญาติที่นานๆ เจอกันที หรือบังเอิญเจอกัน หลายคนมองว่าความตั้งใจของผมเป็นเรื่องตลกที่เป็นไปไม่ได้ ซึ่งทุกครั้งผมเลือกที่จะมองข้ามไป และคิดอีกมุมหนึ่งว่าผมจะมัวแต่อายไม่ได้ เพราะถ้าผมไม่กล้าบอกใครๆ ว่าผมจะทำอะไร ก็เท่ากับว่าผมแพ้ไปครึ่งหนึ่งแล้ว

เคยเหนื่อยจนคิดล้มเลิกความตั้งใจไหม

ต้องยอมรับเลยว่าก็มีบ้างครับ เพราะในช่วงปีครึ่งนั้นที่ผมต้องอ่านหนังสือหนักๆ ผมใช้เวลาแทบจะทั้งหมดอยู่ในห้องสี่เหลี่ยม พออยู่คนเดียวมากๆ เข้า บวกกับอ่านหนังสือเยอะจนเหนื่อย ก็จะมีความคิดฟุ้งซ่านแวบเข้ามาในหัวว่า เราควรไปต่อหรือควรหยุด

ทุกครั้งที่เกิดความรู้สึกแบบนั้น สิ่งแรกที่ผมทำคือตั้งสติ แล้วถามตัวเองว่าเราแค่เหนื่อยหรืออยากล้มเลิกความตั้งใจจริงๆ ซึ่งผมจะหยุดอ่านหนังสือทันทีเลยด้วย แล้วไปทำอะไรที่อยากทำ ทำอะไรที่ผ่อนคลาย พอรู้สึกดีขึ้นแล้วค่อยกลับมาถามตัวเองอีกครั้ง คำตอบที่มาจากใจที่ผ่อนคลายจะช่วยให้ผมไปต่อได้ครับ

ช่วงนั้นกำลังใจที่สำคัญที่สุดคืออะไร

ณ ตอนนั้นกำลังใจที่เป็นแรงผลักดันผมมากที่สุดคือพ่อแม่ครับ เพราะผมเห็นพวกเขาเสียใจมากจากการกระทำของผม จึงตั้งใจกับตัวเองว่าต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้พวกเขาภูมิใจให้ได้ และกำลังใจสำคัญอีกอย่างหนึ่งของผมที่จะลืมไม่ได้เลย คือการให้กำลังใจตัวเอง ผมบอกตัวเองเสมอว่าผมทำได้ แล้วผมก็ทำได้จริงๆ

พอมาถึงวันที่ความพากเพียรพยายามเป็นผลสำเร็จ รู้สึกอย่างไรบ้าง

พอผลสอบออกมาตามที่หวังไว้ ผมดีใจมากครับ มากแบบอธิบายไม่ได้ ส่วนพ่อกับแม่ก็ดีใจมากเช่นกัน แววตาของแม่ในวันนั้นกับวันนี้ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ผมเข้าใจถึงความดีใจสุดขีด ความสุข ความสมหวัง และความภูมิใจ จากรอยยิ้มของพ่อกับแม่ในวันนี้ ซึ่งนั่นทำให้ผมดีใจและมีความสุขมากยิ่งขึ้นไปอีก

ตอนสอบว่ายากแล้ว พอได้มาเรียนจริงๆ เป็นอย่างไรบ้าง

หลายคนมักพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า การเรียนหมอยาก ซึ่งผมก็คิดไว้แล้วแหละครับว่ามันยาก เรียกว่ายากเหมือนที่คิดไว้จึงจะถูกกว่า ส่วนถ้าถามว่าเหนื่อยไหม แน่นอนว่าเหนื่อยครับ แต่ก็ไม่ถึงขนาดที่ต้องกลับมาถามตัวเองว่า คิดผิดหรือเปล่าที่เลือกเรียนหมอ เพราะมันเป็นความเหนื่อยที่ผมรู้ว่าจะเกิดประโยชน์ต่อคนอื่นได้ในวันข้างหน้า เรียกว่าเหนื่อยแต่มีความสุขครับ

แล้วเด็ก กศน. อย่างเราต้องปรับตัวแตกต่างจากคนอื่นไหม

สำหรับการปรับตัว ผมคิดว่าในเรื่องเนื้อหาทฤษฎีไม่ต่างกันเท่าไหร่ เพราะผมก็ผ่านเข้ามาจากการทำข้อสอบเดียวกันกับทุกคน แต่ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดคือเรื่องทักษะการปฏิบัติครับ อย่างการใช้ห้องแล็บ เพราะผมอาศัยการอ่านหนังสือเองทั้งหมด ไม่เคยลงมือทำจริง แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่ได้ยากเกินที่จะปรับตัวครับ

ช่วงเรียนหมอ 6 ปี ที่ทั้งยากและเหนื่อย กำลังใจที่สำคัญที่สุดคืออะไร

อย่างแรกเลยคือการให้กำลังใจตัวเองครับ เพราะผมตั้งใจไว้ว่า ถ้าตัดสินใจที่จะมาเรียนหมอแล้ว ก็ต้องไปให้สุดทาง อีกอย่างหนึ่งคือพ่อแม่ เพราะผมเป็นลูกชายคนเดียว อีกทั้งยังมีพี่สาวกับน้องสาว ซึ่งต่อไปผมอยากทำหน้าที่ดูแลพวกเขา และช่วยกันดูแลครอบครัวให้ดีที่สุด

ดังนั้นแม้ว่ามันจะยากหรือจะเหนื่อยแค่ไหน ผมก็จะสู้จนถึงที่สุด จะไม่ยอมกลับไปอยู่ในจุดเดิม จะไม่ยอมให้สิ่งที่พยายามมาทั้งหมดสูญเปล่าเด็ดขาด ทั้งหมดนี้เป็นแรงผลักดันให้ผมผ่านปัญหาทุกอย่างมาได้ครับ

ผมมีคติประจำใจด้วยนะครับ ซึ่งมันจะเปลี่ยนไปตามช่วงชีวิตหรือเหตุการณ์ที่เจอ อย่างช่วงเตรียมตัวสอบหมอ ผมมักบอกกับตัวเองว่า ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะฝันได้ ไม่เว้นแม้กระทั่งผมที่เป็นเด็ก กศน. ก็สามารถฝันที่จะสอบหมอให้ติด เรียนหมอให้ได้ เพราะฉะนั้นทุกคนมีสิทธิ์ที่จะฝันอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ แต่ต้องตั้งใจทำตามความฝันให้ดีที่สุด

เพราะความฝันไม่จำเป็นต้องตรงใจใคร ขอแค่ตรงใจเราก็พอ ส่วนตอนนี้คือทำวันนี้ให้ดีที่สุด และเชื่อใจตัวเองเสมอว่าเราทำได้ครับ


 

สัมภาษณ์และเรียบเรียง : อรจิรา ยิ้มอยู่

ภาพ : วรสันต์ ทวีวรรธนะ

The post กว่าจะถึงฝัน ว่าที่หมอทหาร “วรวิทย์ คงบางปอ” อดีตเด็กเกเร ทำแม่เสียใจ จนต้องเรียน กศน. appeared first on Praew (แพรว) – All Luxe You Can Reach.


ออเจ้าฮิตไม่เลิก บุพเพสันนิวาส –พรหมลิขิต คว้ารางวัลที่สุดของนิยายไทยแห่งปี

$
0
0

ร้านนายอินทร์ ในเครือบริษัท อมรินทร์ บุ๊ค เซ็นเตอร์ จำกัด จัดงานมอบรางวัล NAIIN READERS’ AWARDS 2019 โดยปีนี้กระแสออเจ้าฟีเวอร์ยังแรงดีไม่มีตกส่ง บุพเพสันนิวาส และ พรหมลิขิต ผลงานของ รอมแพง คว้ารางวัลที่สุดของนิยายไทยแห่งปี 

จัดงานขึ้นเป็นปีแรกแต่ได้กระแสตอบรับจากผู้อ่านอย่างล้นหลามเลย สำหรับงานมหกรรมนิยายนานาชาติ ครั้งที่ 1 (International Novel Festival) ที่จัดขึ้นโดย ร้านนายอินทร์ ในเครือบริษัท อมรินทร์ บุ๊ค เซ็นเตอร์ จำกัด ซึ่งภายในงานครั้งนี้ได้รวบรวม 200 สำนักพิมพ์ชั้นนำและนิยายมาไว้มากที่สุดกว่า 10,000 เรื่อง พร้อมฉีกกฏรูปแบบงานบุ๊คแฟร์แบบเดิม เนรมิตฉากจำลอง 7 เมืองนิยายในโลกจินตนาการมาไว้ที่ชั้น 5 Samyan Mitrtown ซึ่งมีพื้นที่กว่า 2,000 ตารางเมตร มีผู้ร่วมงานประมาณ 100,000 คน

ภายในงานยังมีการจัดงานมอบ NAIIN READERS’ AWARDS 2019  รางวัลที่ได้จัดการโหวตนิยายยอดนิยมจากผู้อ่านกว่า 10,000 เพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้สร้างสรรค์ผลงานและสำนักพิมพ์ต่างๆ และปลุกกระแสรักการอ่านในไทย ให้กลับมามีส่วนสำคัญในการพัฒนาคุณภาพสังคมไทย โดยรางวัลแบ่งเป็น 2 ประเภทด้วยกัน โดยประเภทแรก “รางวัลที่สุดของนิยายแปลแห่งปี” ส่วนอีกหนึ่งประเภทคือ “รางวัลที่สุดของนิยายไทยแห่งปี”  

พรหมลิขิต

โดย ม.ล.ลือศักดิ์ จักรพันธุ์ กรรมการผู้ขัดการ บริษัท อมรินทร์ บุ๊ค จำกัด ได้กล่าวถึงกานจัดงานมอบรางวัลในครั้งนี้ว่า “ในฐานะที่ร้านนายอินทร์เป็นศูนย์กลางกระจายความรู้ ความคิด และส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน เราจึงอยากรับฟังความคิดเห็นและความสนใจของนักอ่านอย่างเปิดกว้างผ่านการโหวตอย่างอิสระ จนได้รายชื่อนิยายที่ได้รับรางวัล NAIIN READERS’ AWARDS 2019 ทั้ง 10 รางวัลเพื่อให้มีการถ่ายทอดหนังสือคุณภาพไปสู่เหล่านักอ่าน และยังเป็นกำลังใจให้กับผู้เขียนและสำนักพิมพ์ ซึ่งผลรางวัลที่ได้มาจากการโหวตนับหมื่นราย จะเห็นได้ว่าตลาดของหนังสือนิยาย ยังคงได้รับความนิยมอยู่ในปัจจุบัน และมีการยอมรับนักเขียนรุ่นใหม่มากขึ้น ซึ่งนิยายระดับตำนานก็ยังคงเป็นที่ชื่นชอบอยู่ไม่แพ้กัน โดยผู้ที่มาร่วมโหวตต่างทำด้วยใจ เพื่อมาลงคะแนนให้กับหนังสือที่รัก คนประพันธ์ที่ชอบ แบบไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน ตรงนี้สะท้อนให้เห็นว่า ความผูกพันของสังคมไทยกับหนังสือยังคงแข็งแรงอยู่ ถึงแม้ว่าไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตจะเปลี่ยนไป แต่ความเป็นนิยายก็สามารถสร้างความสนใจให้คนทั่วไปกลับมาอ่านหนังสือได้อีกครั้ง สร้างกลุ่มนักอ่านรุ่นใหม่ต่อไปได้อย่างไม่รู้จบ”

โดยผลรางวัลมีดังต่อไปนี้ รางวัลที่สุดของนิยายแปลแห่งปี อันดับ 1 “ปรมาจารย์ลัทธิมาร” แปลโดย “อลิส” สำนักพิมพ์ bakerybook อันดับ 2 “แฮร์รี่ พอตเตอร์” แปลโดย “สุมาลี บำรุงสุข”, “วลีพร หวังซื่อสกุล”, “งามพรรณ เวชชาชีวะ” สำนักพิมพ์ นานมีบุ๊คส์ อันดับ 3 “ทะลุมิติหักดิบจอมมาร” แปลโดย “MW” สำนักพิมพ์ “Rose” อันดับ 4 “ตัวร้ายอย่างข้าจะหนีเอาตัวรอดยังไงดี” แปลโดย “ลาเวนเดอร์” สำนักพิมพ์ “Sense Book” อันดับ 5 “รัชศกเฉิงว่าปีที่สิบสี่” แปลโดย “everY”

ปรมาจารย์ลัทธิมาร
รางวัลที่สุดของนิยายแปลแห่งปี
ปรมาจารย์ลัทธิมาร
“ปรมาจารย์ลัทธิมาร” แปลโดย “อลิส” สำนักพิมพ์ bakerybook

รางวัลที่สุดของนิยายไทยแห่งปี  อันดับ 1 ” บุพเพสันนิวาส” ประพันธ์โดย “รอมแพง” สำนักพิมพ์ happy Banana อันดับ 2 “พรหมลิขิต” ประพันธ์โดย “รอมแพง” สำนักพิมพ์ happy Banana อันดับ 3 “นิทานพันดาว” ประพันธ์โดย ” Bacteria” สำนักพิมพ์ นาบู  อันดับ 4 “เพราะเราคู่กัน” ประพันธ์โดย ” JittiRain” สำนักพิมพ์ everY อันดับ 5 ” เพชรพระอุมา” ประพันธ์โดย “พนมเทียน” สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม

พรหมลิขิต
รางวัลที่สุดของนิยายไทยแห่งปี
พรหมลิขิต
“รอมแพง” ผู้ประพันธ์ ” บุพเพสันนิวาส” และ “พรหมลิขิต”

อย่างไรก็ตาม “จันทร์ยวีร์ สมปรีดา” เจ้าของนามปากกา “รอมแพง” ได้เปิดเผยความรู้สึกภายหลังได้รับรางวัลโดยกล่าวว่า “จริงๆ ก็เคยรับรางวัลมาหลายรางวัลแล้วเหมือนกันนะคะสำหรับเรื่องบุพเพสันนิวาสแต่การรับรางวัลในครั้งนี้มันทำให้เราตื่นเต้นมากที่สุด เพราะเป็นผลโหวตจากผู้อ่านที่อ่านงานของเราจริงๆ มันก็เลยมีความรู้สึกตื้นตันและตื่นเต้นและดีใจมากๆ ที่ได้รับรางวัลนี้ ส่วนเรื่องพรหมลิขิตก็ต้องยอมรับว่าเป็นอานิสงส์จากผู้ที่ได้ชมละครและอ่านนิยายเรื่องบุพเพสันนิวาสที่อยากรู้เรื่องราวต่อก็เลยทำให้ผลตอบรับดีก็เลยทำให้มีคนชื่นชอบและยอดขายสูง ต้องขอขอบคุณทุกคนจริงๆ นะคะ”

เหล่านักอ่านสามารถติดตามข่าวสารของงานมหกรรมนิยายนานาชาติ ครั้งที่ 1 (International Novel Festival) อย่างต่อเนื่อง ผ่านทาง Facebook : International Novel Festival หรือ www.naiin.com/novelfest


 

The post ออเจ้าฮิตไม่เลิก บุพเพสันนิวาส – พรหมลิขิต คว้ารางวัลที่สุดของนิยายไทยแห่งปี appeared first on Praew (แพรว) – All Luxe You Can Reach.

คู่จิ้นใหม่ “กองทัพพีค –เบลล่า”ให้รักพิพากษา DARE TO LOVE

$
0
0

เรียกว่าเป็นการกำเนิดคู่จิ้นคู่ใหม่ของวงการบันเทิง สำหรับพระเอกและนางเอกต่างวัย “กองทัพพีค – เบลล่า” ที่โคจรมาเจอกันเป็นครั้งแรกในละครเรื่อง ให้รักพิพากษา DARE TO LOVE ของค่ายลัมพี โปรดักชั่น

ให้รักพิพากษา DARE TO LOVE

ได้ฤกษ์บวงสรวงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับละครโรแมนติกคอมเมดี้ที่หลายคนรอคอย “ให้รักพิพากษา DARE TO LOVE” ละครใหม่ของช่อง 3 ผลิตโดยค่ายละครดัง “ชลลัมพี โปรดักชั่น” ของผู้จัด “ต้น-ณฐนนท์” ทายาทผู้จัดละครตัวแม่อย่าง “แม่หนู-สรวงสุดา ชลลัมพี”กำกับการแสดงโดย “วุ้น-ทรงศักดิ์ มงคลทอง”

สำหรับละครฟอร์มยักษ์โรแมนติก-ดราม่า สัญชาติไทย “ให้รักพิพากษา DARE TO LOVE” ละครรักต่างวัยเรื่องล่าสุดที่น่าจับตามองอย่างมาก ซึ่ง ณ ตอนนี้ หลายประเทศต่อสายตรงถึง ช่อง3 ขอซื้อลิขสิทธิ์ไปออนแอร์มากที่สุด โดยได้นางเอกซุปเปอร์สตาร์ประจำช่องอย่าง “เบลล่า-ราณี แคมเปน” มานั่งแท่นเจ๊ดันตัวแม่ เปิดซิงการแสดงนักแสดงหน้าใหม่ของเอเชีย “พีค-กองทัพ” ทายาทคนดัง “ปราบ-ยุทธพิชัย” ที่เป็นคนไทยหนึ่งเดียวที่ผ่านการประกวด รายการเกาหลีใต้ชื่อดัง PRODUCE X 101 โด่งดังระดับเอเชีย คว้าตัวมาเปิดซิงการแสดงรับบทพระเอกเต็มตัวครั้งแรกทางหน้าจอ ช่อง 33 และยังได้นางเอกฟรีแลนซ์สาวตาคม “พิ้งกี้-สาวิกา ไชยเดช” หวนคืนจอกลับมารับงานละครเต็มๆอีกครั้ง  หลังเคยฝากฝีมือการแสดงไว้เมื่อตอนเด็ก ห่างจอมานานกว่า 26 ปี มาประชันฝีมือการแสดงดราม่าประกบรุ่นใหญ่ไฟกระพริบ “อู๋-ธนากร” นักแสดงตัวพ่อที่สาวๆ ฟินหน้าจออย่างแรง

  

นอกจากนี้ยังมีนักแสดงที่มาร่วมสร้างสีสันอีกเพียบ นำทีมโดย “เค้ก-นัทธวัชร์, ลาล่า-ลาริสา,น้ำฟ้า-ธัญญภัสร์,มายด์-ฑาริกา,แก๊ป-จักริน” และทัพนักแสดงมากฝีมือมากมาย ร่วมด้วย “เกิร์ก ชิลเลอร์,แป้ง เดอะสตาร์,ใหม่-นัฏฐา ลอยด์ , ปาล์ม-ศุภชัย, คิน-การันต์,บูม-วิศรุต,พีช-พิมพ์ลดา,จุ๊บแจง-วิมลพันธ์ ฯลฯ

ทั้งนี้ทีมงานได้เปิดกล้องถ่ายทำกันมาได้ระยะหนึ่งแล้ว แต่เนื้อหาของเรื่องยังคงปิดเงียบ เพื่อไว้รอเซอร์ไพร้ส์คุณผู้ชมทางหน้าจอ เพียงแต่ใบ้ให้ได้ลุ้นกันว่าเป็นเรื่องราวรักต่างวัยของทนายสาวรุ่นพี่ ที่ลมพัดหวนกลับมาเจอกับอดีตรักรุ่นน้อง ที่เคยตกหลุมรักกันเมื่อครั้งในอดีต มีกำหนดออนแอร์กลางปีหน้า 2020 ถือว่าเป็นอีกหนึ่งละครฟอร์มดีที่คุณจะได้ชม ปรากฏการณ์รักครั้งใหม่ และ เคมีรักครั้งใหม่ของคู่จิ้น “เบลล่า-พีค” ที่ชวนกันมาจิกหมอนที่หน้าจอหวานเลี่ยนสุดๆอย่างแน่นอน

ให้รักพิพากษา DARE TO LOVE


 

The post คู่จิ้นใหม่ “กองทัพพีค – เบลล่า” ให้รักพิพากษา DARE TO LOVE appeared first on Praew (แพรว) – All Luxe You Can Reach.

รวยน้ำใจสม่ำเสมอ อั้ม-พัชราภา หยิบยื่นความช่วยเหลือให้พี่น้องวงการบันเทิง

$
0
0

อยู่ในเส้นทางสายบันเทิงมาเป็นสิบๆ ปี แต่ความนิยมไม่เคยหล่นลงเลย สำหรับซูเปอร์สตาร์สาว อั้ม-พัชราภา ไชยเชื้อ นักแสดงสาวระดับแม่เหล็กของวงการบันเทิง ที่ไม่ได้มีดีแค่ความสามารถเท่านั้น เพราะเธอยังขึ้นชื่อเรื่องความมีน้ำใจมากๆ อีกด้วย ซึ่งไม่แปลกเลยว่าทำไมเธอจึงเป็นขวัญใจมหาชนที่หลายๆ คนชื่นชอบ

น้ำใจของ “อั้ม” เราได้เห็นผ่านสื่อมากมาย ไม่ใช่เพราะการโปรโมท แต่เป็นคำบอกเล่าของคนธรรมดาๆ ที่เห็นด้วยสายตาตัวเองในเหตุการณ์จริง โดยเฉพาะการช่วยเหลือบรรดาน้องหมาข้างทางอย่างสม่ำเสมอ แม้แต่สุนัขจรจัดเธอก็เข้าช่วยเหลืออย่างไม่รังเกียจ ซึ่งบางตัวเธอก็รับดูแลเอง ทั้งยังช่วยเป็นกระบอกเสียงในการจัดหาคนรับเลี้ยงให้กับน้องหมาเหล่านั้น

อั้ม-พัชราภา

นอกจากจะเป็นนางเอกขวัญใจแฟนๆ แล้ว เธอยังเป็นที่ชื่นชมของรุ่นพี่และรุ่นน้องในวงการบันเทิงในด้านความมีน้ำใจชอบการแบ่งปัน ซึ่งเธอมักแอบช่วยเหลือคนดังหลายคน มีทั้งเป็นข่าวแล้วไม่เป็นข่าว ยกตัวอย่างที่เป็นข่าวแล้วคนจำได้ดีก็มีกรณีของ อดีตดาราเด็ก “น้องไทเกอร์ ” (ธนกร พิศนุภูมิ ) ซึ่งเคยร่วมงานกับดาราสาวในภาพยนตร์เรื่อง “ผีเลี้ยงลูกคน” โดยในตอนที่น้องไทเกอร์อายุ 6 บวบ ได้ถูกน้ำร้อนลวกจนต้องเข้าโรงพยาบาล อั้มก็ได้หยิบยื่นน้ำใจให้กับอดีตนักแสดงเด็กคนนี้ ไม่เพียงเท่านั้น 9 ปีผ่านไป “น้องไทเกอร์ ” ได้โพสต์ถึงความลำบากและประสบปัญหาเงินทุนในด้านการเรียน และถึงแม้จะไม่ได้มีการเปิดเผยว่ามอบเงินช่วยเหลือหรือไม่ แต่อั้มก็ได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นห่วงเป็นใยต่อรุ่นน้องที่ร่วมงานกัน ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ตาม

ขณะที่ในปี 2556 นักแสดงอาวุโส “ไพโรจน์ สังวริบุตร” ได้ล้มป่วย อั้มก็ได้เข้ามาช่วยเหลือ และกลายเป็นข่าวใหญ่เพราะมีการค่อนขอดในประเด็นจำนวนเงินจากเหล่าชาวเน็ต ทั้งๆ ที่จำนวนดังกล่าวไม่ใช่เรื่องจริง ทำให้ภรรยานักแสดงรุ่นใหญ่ต้องออกมาปกป้องนางเอกผู้มากน้ำใจ ทั้งยังกล่าวแสดงความขอบคุณที่ช่วยเหลือและให้กำลังใจนางเอกสาวอย่าท้อที่จะทำดี

อั้ม-พัชราภา

ล่าสุดมีเรื่องราวความน่ารักของนางเอกขวัญใจมหาชนมาบอกต่อกันอีกแล้ว เมื่ออั้มได้หยิบยื่นความช่วยเหลือให้กับนักแสดงเก่า “ป้าแมว ดาวพระศุกร์” หรือ “รุ่งกานดา เบญจมาภรณ์” ที่ประสบปัญหาไม่มีเงินรักษาอาการป่วยของตัวเอง โดยล่าสุดนางเอกคนดังได้เล่าถึงเรื่องนี้อย่างสั้นๆ ในระหว่างมาร่วมงาน nice two Meat u Thailand ฉลองเปิดสาขาใหม่ ที่ร้าน nice two Meat u Thailand สาขา ไอคอนสยาม ชั้น 5 ซึ่งดาราวสาวได้เล่าว่าเธอทราบเรื่องนี้จากโซเชียลเลยโทรศัพท์ไปหา “พี่บุ๋ม-ปนัดดา วงศ์ผู้ดี” จึงได้ขอเบอร์ “ป้าแมว” ทำให้ได้คุยกัน ต่อมาจึงออกปากขอช่วยเหลือ ซึ่งอั้มยังเล่าอีกว่าเธอจำได้ว่าดูผลงานของป้าแมวมาตั้งแต่เด็กๆ จนได้มาเล่นละครด้วยกันทำให้รู้สึกยิ่งผูกพัน ดังนั้นเธอจึงอยากที่จะช่วยเหลือ

ดูเหมือนว่าป้าแมวไม่ใช่รายเดียวเท่านั้นเพราะในช่วงเวลาใกล้กัน อั้มยังได้ช่วยเหลือ”หญิง-อภิสรา รักชาติ” แฟน “แจ็ค เชิญยิ้ม” ที่ป่วยเป็นไตวายเรื้อรัง เธอได้ได้กล่าวว่า “รู้จักกันมานานมากแล้วแต่ไม่ได้เจอกัน ก็รู้ว่าฟอกไตมานาน 4 ปีแล้ว เราก็ตกใจไม่เคยเห็นว่าหน้าเขาบวม ตอนเห็นภาพจากข่าวก็ตกใจว่าใช่เหรอ ว่านี่คือคนเดียวที่เรารู้จัก”

อั้ม-พัชราภา

ทั้งนี้จากความมีน้ำใจที่กล่าวมาทำให้อั้มถูกยกเป็น “นางฟ้าบนดิน” ซึ่งงานนี้เธอปฏิเสธโดยบอกว่า “ไม่ได้ขนาดนั้น อย่างป้าแมว เรารู้จักกันอยู่ ป้าแมวถ้าเขาเดือดร้อนอะไรเราช่วยได้ก็ช่วย ส่วนหญิงเป็นเพื่อนกันตั้งนานแล้ว ส่วนกรณีที่เราช่วยคนที่ไม่รู้จัก ก็มีคนที่เรารู้จักบอกมาแล้วก็ช่วยแต่เราไม่ได้บอกชื่อคงตลกเนอะถ้าเกิดช่วยไปแล้ว แล้วก็ลงรูปแล้วบอกว่าโอนตังค์ไปแล้วนะคะ ร่วมอนุโมทนานะคะสำหรับอั้ม มันคงไม่ใช่ บางทีเราก็ให้พ่อโอนให้บ้าง”

อย่างไรก็ตามเมื่อถูกถามถึงหลักเกณฑ์ในการช่วยเหลืออั้มกล่าวว่า “เวลาช่วยเราก็ดูคน ก็ดูจากที่เขาช่วยเหลือกันก่อน ถ้าเป็นเรื่องสุนัขก็จะให้คนโทร.ไปที่โรงพยาบาล เราจะโอนเข้าโรงพยาบาล เราจะไม่โอนเข้าบุคคล เพราะเราไม่รู้ว่าเขาจะเอาเงินไปทำอะไร เผื่อเขาเอาสุนัขมาอ้างให้เราสงสารแต่จริงๆ มันอาจจะไม่ใช่ก็ได้ เราก็ให้คนที่เขาเข้มงวดตรวจสอบให้เพราะเราเป็นคนใจอ่อน ซึ่งก็เคยโดนหลอกแต่ไม่ได้มากมาย”

อั้ม-พัชราภา


 

The post รวยน้ำใจสม่ำเสมอ อั้ม-พัชราภา หยิบยื่นความช่วยเหลือให้พี่น้องวงการบันเทิง appeared first on Praew (แพรว) – All Luxe You Can Reach.

พร้อมสู้ศึก Miss World 2019 “เกรซ-นรินทร”ลัดฟ้าสู่กรุงลอนดอน

$
0
0

เรียกว่ากำลังใจเกินร้อย สำหรับ “เกรซ-นรินทร ชฎาภัทรวรโชติ” มิสไทยแลนด์เวิลด์ 2019 ที่เตรียมบินลัดฟ้าข้ามทวีปทำหน้าที่เป็นตัวแทนประเทศไทย เข้าร่วมประกวดเวทีระดับโลก Miss World 2019  ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยออกเดินทางเวลาเที่ยงคืนสิบห้านาที ด้วยสายการบินไทยชั้น Business Class เที่ยวบิน TG 910 กรุงเทพ-ลอนดอน งานนี้มีแฟนนางงาม ครอบครัว ร่วมให้กำลังใจเดินทางมาส่งเนืองแน่น

เกรซได้ให้สัมภาษณ์ก่อนออกเดินทางว่า “รู้สึกตื่นเต้น และดีใจมากที่มีแฟนนางงาม ครอบครัว ญาติๆ เดินทางมาส่ง มาให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก ขอบคุณมากจริงๆ การเดินทางครั้งนี้ไปร่วม 1 เดือน คงคิดถึงครอบครัวมากๆ แต่ก็มีแรงผลักดันในการทำหน้าที่ตัวแทนประเทศไทย

เกรซต้องนึกถึงเป้าหมายข้างหน้า อยากเอามงฟ้ามาฝากคนไทยเพื่อเป็นของขวัญ การเตรียมตัวทั้งร่างกายและจิตใจคือพร้อมมากร้อยเปอร์เซ็นต์ ได้ศึกษาข้อมูลคู่แข่งขันประเทศต่างๆ เพื่อเรียนรู้ทั้งเขาและเรา ส่วนชุดที่เข้าร่วมประกวดขนไปร่วม 50 ชุด กับกระเป๋าเดินทางจำนวน 5 ใบ ต้องขอขอบคุณสายการบินไทยที่สนับสนุนตั๋วเครื่องบินชั้นบิสเนส พร้อมน้ำหนักกระเป๋าแบบเต็มพิกัด

สำหรับเวที Miss World 2019 จะมีการจัดการจัดการประกวดรอบตัดสินในวันที่ 14 ธันวาคม 2562 ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

Miss World 2019

Miss World 2019

 Miss World 2019

Miss World 2019


 

The post พร้อมสู้ศึก Miss World 2019 “เกรซ-นรินทร” ลัดฟ้าสู่กรุงลอนดอน appeared first on Praew (แพรว) – All Luxe You Can Reach.

Anniversary! พุฒ-พุฒิชัย สามีที่แสนเสมอต้นเสมอปลายในสายตา จุ๋ย-วรัทยา

$
0
0

เผลอแป๊บเดียวแต่งงานกันมาครบ 1 ปีแล้ว สำหรับคู่รักคู่หวาน จุ๋ย-วรัทยา นิลคูหา กับ ดีเจพุฒ-พุฒิชัย เกษตรสิน โดยเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาทั้งคู่ได้ร่วมฉลองวันครบรอบแต่งงานด้วยกัน แต่ก่อนที่จะได้เห็นภาพสวีทๆ แบบนี้ สาวจุ๋ยเล่าว่าเกือบที่จะไม่ได้มีโมเมนต์แบบนี้แล้ว เนื่องจากคุณสามีติดพันงาน จนขยับตัวไปไหนไม่ได้เลยทีเดียว

พุฒ-พุฒิชัย
พุฒ-พุฒิชัย สามีที่แสนเสมอต้นเสมอปลายในสายตา จุ๋ย-วรัทยา

เห็นว่าช่วงนี้เบรกงานละครยาว เพราะอยากจะผลิตทายาทอย่างจริงจัง?

“ช่วงนี้ละครก็คงพักยาว เพราะถ้าถ่ายละครก็คงไม่ได้ท้องสักที ก็เลยขอพักละครยาว มาลุยธุรกิจ แล้วก็ยังมีพิธีกรอยู่ ก็จะยังเห็นหน้ากันอยู่แล้ว จริงๆ งานในวงการจุ๋ยก็รักนะ ก็ยังมีความสุขกับงานในวงการ พอไม่ได้ถ่ายละครก็แอบเหงา แต่มันก็ต้องเลือก เราโตขึ้น อายุมันก็ไปตามสเต็ปของชีวิต ก็ต้องมีครอบครัว ดังนั้นก็จะทำธุรกิจด้วย แต่งานในวงการก็ไม่ได้ทิ้งร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่มาเน้นหนักที่ธุรกิจมากขึ้น คิดว่ามันก็น่าจะสร้างความมั่นคงให้เราด้วย”

แบ่งเวลาลำบากหรือเปล่า?

“คือก่อนหน้านี้ก็แบ่งเวลาลำบากเหมือนกัน เพราะว่าการถ่ายละครเหมือนเอาชีวิตไปเลยเกือบครึ่งสัปดาห์ แต่พอเบาละคร ก็สามารถที่จะมาตรงนี้ได้แบบเต็มที่ ตอนนี้สงสารสามีมากจริงๆ เมื่อวานที่เป็นวันครบรอบแต่งงาน ถ้ากองถ่ายไม่ปล่อยให้กลับมาก่อน จะไม่ได้กินข้าว จะไม่ได้เซอร์ไพร้ส์อะไรกันเลย แต่พอพุฒลงรูป กองถ่ายเขา ที่เหมือนแพลนว่าจะถ่ายถึงดึก เขาก็สงสาร พุฒช่วยกองมามากแล้ว เขาก็เลยปล่อยตอน 6 โมง ซึ้งน้ำตาจะไหลเลยเนี่ย”

วรัทยา นิลคูหา
ให้สัมภาษณ์ในงาน งานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ Kamin Gold Serum (ขมิ้นโกลด์เซรั่ม)

ช่วงนี้พุฒดูเหมือนจะทำงานหนักมากๆ?

“เขาทำงานตัวเป็นเกลียว เขาได้พักประมาณ 4-5 ชั่วโมงเองเวลานอน เพราะว่าเดือนนี้เหมือนเป็นเดือนที่เร่งของละครทุกเรื่องของพุฒ คือเขาถ่ายอยู่ 3 เรื่อง แล้วมันมีเรื่องหนึ่งที่กำลังจะออนแอร์ แล้วอีกเรื่องก็อยากเร่งปิด เพราะจะออนแอร์ที่จีนตอนต้นปี เขาก็เลยเหมือนเร่งทุกอย่างภายในเดือนนี้ สงสารเหมือนกันนะ ไม่ค่อยได้พัก นี่ก็เป็นตากุ้งยิง ก็พักไม่ได้ เป็นตาแดง แต่กองก็หยุดไม่ได้ ถ้ายกกองแล้วจะเสียหาย เขาก็เลยถ่ายทั้งตาแดง ทั้งกุ้งยิง ทำทุกอย่าง แต่ไม่ใช่ว่าเราสั่งให้เขาทำนะ เราอยากให้เขาพักมากเลย แต่พุฒเขาเป็นคนขี้เกรงใจ ถ้ากองอยากได้แบบไหน เขาก็ทำให้ถึงแม้จะเหนื่อย แล้วตอนนี้อยู่งานอีเว้นท์นะ วิ่งเก่ง”

 จุ๋ย-วรัทยา

ถึงจะงานยุ่งแต่คุณสามีก็ยังมีเซอร์ไพร้ส์ครบรอบแต่งงาน?

“ก็เมื่อวานเป็นวันครบรอบแต่งงาน 1 ปีผ่านไปรวดเร็ว ก็ได้ดอกไม้ คือคุยกันอยู่แล้ว ว่าอยากประหยัด ไม่อยากจะต้องมาให้ของขวัญอะไรกัน แต่เขาก็จะมีให้เราน่ารักๆแบบนี้ตลอด แต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องซื้อของแพงๆ ให้ ถามว่าบรรยากาศเมื่อวานเป็นยังไง ถ้าดูรูปที่จุ๋ยลงจะเห็นว่าสามีก็จะตาโรยๆ หน่อย แต่ว่ายิ้มแป้นเลย แต่ตามันบอกเลยว่าเหนื่อยมาก แต่เขาก็ทำให้เราเซอร์ไพร้ส์นะ เอาดอกไม้ไปซ่อนไว้ในห้องก่อน จุ๋ยก็ไม่รู้ นึกว่าเขาต้องทำงาน ก็ปลื้มนะ เขาเป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย เขานึกถึงเรา เขากลัวเราน้อยใจ จุ๋ยก็บอกว่าไม่มีทางน้อยใจอยู่แล้ว จุ๋ยรู้ว่าพุฒทำงานหนัก ก็ไปกินข้าวกันค่ะ แต่ก็มีพี่เป้ ไปเป็นกขค. อยู่ดี”

จุ๋ย-วรัทยา

“หลายคนอิจฉาว่าเราได้สามีดีเหรอ ก็ขอให้ดีแบบนี้ไปตลอดๆ จริงๆ มันก็เป็นความโชคดีนะคะที่เราได้เจอคนที่ดี ก็อยากเป็นคนที่คอยสนับสนุนเขา ดูแลเขาไปตลอดเลยเหมือนกัน เห็นหวานกันตลอด 365 วันเลยเหรอ ก็หวานบ้าง วันหนึ่งมันก็อาจจะมีหวาน มีกัดกันบ้าง มีตีกันบ้าง ชีวิตมันก็มีหลายรสชาติ ก็ไม่เบื่อดี เพราะมีอะไรให้ทำ ให้ขำ ให้แกล้งกัน แต่ถ้าจะหวานสุดๆ เลย ก็ต้องไปต่างประเทศที่หนาวๆ เขาขี้หนาว ก็ชอบกอด แต่ถ้าบ่อยๆ ก็จะรำคาญ (หัวเราะ)”

จุ๋ย-วรัทยา

หนาวนี้มีแผนเรื่องทริปต่างประเทศไหม?

“จะหาทริปหนาวๆ ไปทำเบบี้ไหมเหรอ  ก็มีไป อย่างพุฒจะไปต่างประเทศก็ต้องมีวาระ อย่างคราวนี้เขาจะไปวิ่งที่โอซาก้ามาราธอน ก็เหนื่อยอีกแล้ว จะผลิตได้ไหม ยากอีก แต่ตอนนี้ก็คิดว่าปล่อยเป็นเรื่องของธรรมชาติ ก็อยากให้เขาทำในสิ่งที่ชอบ เราเองก็ตามก็เที่ยวกับเขาได้ตลอดอยู่แล้วค่ะ เรื่องลูกเราก็อยากมีอยู่แล้ว อยากมีให้เป็นของขวัญ เขาชอบเด็กมากๆ แล้วเราเองก็รักเด็ก”

จุ๋ย-วรัทยา

เรื่องลูกพร้อมเมื่อไหร่?

“ก็อยากมีค่ะ แต่ถ้าร่างกายมันยังไม่พร้อม ก็ต้องดูแลก่อน นี่คือจริงจังมากนะ ไปตรวจเลือด ดูแลเรื่องฮอร์โมน ปรึกษาหมอหมด อะไรที่ดีกับร่างกายตัวเอง ทำหมดตอนนี้ แต่ก็ยังไม่มาค่ะ แต่ปีหน้าก็น่าจะมีอะไรดีๆ เกิดขึ้นในชีวิตบ้างแหละ ก็ถ้ารู้และพร้อมบอก ยังไงก็บอกอยู่แล้วค่ะ ”


ภาพจาก: IG @warattaya

The post Anniversary! พุฒ-พุฒิชัย สามีที่แสนเสมอต้นเสมอปลายในสายตา จุ๋ย-วรัทยา appeared first on Praew (แพรว) – All Luxe You Can Reach.

จบม. 6 สอบขับเครื่องบิน ตอบคำถามแบบ “ชาลี”ไม่ชอบเรียน แต่อย่าเลียนแบบผม!

$
0
0

ท้ายๆ ปีแบบนี้แวดวงภาพยนตร์ไทยคึกคักเป็นพิเศษ เนื่องจากมีหนังลงโรงฉายหลายเรื่อง ซึ่งหนึ่งในหนังก็คือ “Who…ปิดป่าหลอน” ผลงานล่าสุดของนักแสดงหนุ่มมาดติสท์ แน็ก-ชาลี ไตรรัตน์ หรือที่รู้จักกันดีในนาม ไอ้เจี๊ยบ แฟนฉัน ซึ่งเจ้าตัวขอพรีเซ็นต์เลยว่านี่คือผลงานอีกหนึ่งเรื่องของเขาที่น่าติดตามมากๆ

โดยเมื่อไม่นานมานี้ “แพรวดอทคอม” ได้มีโอกาสสัมภาษณ์แน็กในหลายแง่มุม ซึ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษก็แนวคิดเรื่องการเรียนที่แตกต่าง แม้ประโยคเริ่มแรกจะค่อนข้างน่าตกใจ เรื่องการไม่เรียนต่อ แต่หนุ่มคนนี้ก็ไม่หยุดที่จะเรียนรู้ไปซะทีเดียว แม้จะไม่ใช่ทางตรงเหมือนคนอื่นๆ ก็ตาม

แน็ก-ชาลี

หนุ่มหัวใจศิลปิน ทำเองฟังเองนักเลงพอ

ภาพความเป็นนักแสดงของแน็กค่อนข้างชัดเจนตั้งแต่สมัยเด็กๆ แต่หนุ่มคนนี้ก็มีอีกหนึ่งความฝันที่อยากจะทำให้สำเร็จนั่นคือการเป็นศิลปิน แต่ไม่ว่าจะเป็นนักร้องที่มีต้นสังกัดหรือไม่มีต้นสังกัด เขาก็ยังไม่สามารถแจ้งเกิดบนเส้นทางนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นเพลงที่เขาทำให้มนุษย์ฟังกลับไม่เป็นที่รู้จักมากเท่ากับเพลง “สกูบี้-ดู” ที่ใช้การหอนมากกว่าการร้องเสียอีก

“จริงๆ ผมอยากประสบความสำเร็จด้านดนตรี อยากทำเพลงให้มีคนฟัง ให้ดูเอ็มวีของเราเยอะๆ นั่นแหละสิ่งที่ผมต้องการ” (แต่ตอนนี้ก็มีคนดูเยอะแล้วนะอย่างเพลงสกูบี้-ดู?) “ไม่เยอะ น้อยมากสำหรับผม ตอนนี้เหมือนว่าได้เพราะเป็นกระแส แต่ลึกๆ เราอยากประสบความสำเร็จเหมือนคนอื่น” (ทำไมไม่มองหาต้นสังกัด เพราะนอกจากจะมีคนช่วยดูแลเรื่องการทำเพลงแล้ว ยังมีพีอาร์คอยสนับสนุนด้วย?) “จริงๆ หลายคนอาจมองว่าการอยู่ค่ายหรือมีต้นสังกัดเป็นสิ่งที่ดี และผมเองก็เคยอยู่แบบมีต้นสังกัดมาก่อน แต่มันไม่มีผล ผมว่าการทำเพลงมันอยู่ที่ดวง แต่ก่อนผมไม่เชื่อว่าเพลงมันต้องมาควบคู่กับดวง แต่พอได้ทำก็รู้แล้วว่ามันคือเรื่องจริง มันอยู่ที่ดวงคนช่วงจังหวะนั้นจริงๆ คุณทำให้ตายถ้าเพลงจะไม่ดังมันก็ไม่ดัง  อยู่ที่ไหนมันก็ไม่ดังเพราะไม่มีคนฟัง (ทุกวันนี้ยังแต่งเพลงเองไหม และมีกี่เพลงแล้ว?) “ผมมีเพลงที่แต่งไว้เยอะ ทั้งที่ทำแล้วฟังเองและมีที่เล่นด้วย อยู่ที่ว่าจังหวะไหนอยากปล่อยก็ปล่อย”

Love Me Love My Animals

อีกมุมหนึ่งของแน็กที่นอกเหนือจากงานแสดงและงานเพลงแล้ว เขาเป็นคนที่รักสัตว์มากๆ ซึ่งน้องสัตว์ที่หนุ่มคนนี้เลี้ยงดูปูเสื่อก็มีหลายประเภทไม่ว่าจะเป็น ตัวเงินตัวทอง ตุ๊กแก แมลงสาบ จิ้งจก งูเห่า นกเอี้ยง ฯลฯ ซึ่งหลายคนก็อยากรู้ว่าหากให้เลือกระหว่างสัตว์เลี้ยงกับผู้หญิง แน็กจะเลือกอะไรกันแน่

(หากให้เลือกระหว่างสัตว์เลี้ยงกับผู้หญิง แน็กจะเลือกอะไร?) “เลือกยากมากนะครับ มันเลือกไม่ได้หรอก (หัวเราะ) แต่อันที่จริงชีวิตผมก็เคยเจอมากแล้ว ถ้าผู้หญิงที่ไม่ชอบสัตว์เลี้ยงของเราก็คงให้เขาแค่เป็นเพื่อน ไม่จำเป็นต้องพาไปที่บ้าน  ไม่จำเป็นต้องไปเจอสัตว์เลี้ยง เราเข้าใจเพราะเรื่องนี้เราไม่สามารถบังคับใครได้ บางคนเกลียดหมา ผู้หญิงบางคนเกลียดแมว มันมีเยอะมาก ถ้าเราอยากคบใครจริงจังเราก็ต้องเลือกคนที่ว่าเขารักในสัตว์เลี้ยงของแน็กจริงๆ ก็ค่อยคบกันเป็นแฟน แต่ถ้าใครไม่รักสัตว์ รังเกียจสัตว์ก็คบเขาเป็นเพื่อนที่ดี”

 แน็ก-ชาลี

ความพยายามในการเล่าเรื่องที่แตกต่าง และแคปชั่นยาวอย่างกับทางรถไฟ

(ใครเป็นคนคิดวิธีการเล่าเรื่องในการทำโฆษณาหรือโพสต์ต่างๆ?) “ต้องบอกว่ามันคิดไม่ได้หรอก ถ้ามันเป็นคนอื่นคิด มันก็คงไม่ออกมาเป็นแบบนี้ สำหรับไอเดียแน่นอนว่าต้องเป็นผมเอง ซึ่งก็ไม่ได้มีหลักการอะไรทั้งนั้น ผมถ่ายทอดความเรียลของชีวิตผมกับหลาน “น้องอาเธอร์” เราก็แค่ใช้ความเป็นธรรมชาติของเรารีวิวออกมาแค่นั้นเอง จริงๆ มันก็แปลกมากเหมือนกันที่ผมสามารถเขียนแคปชั่นยาวๆ ได้ เพราะตั้งแต่เด็กผมไม่ชอบอ่านหรือเขียนหนังสือ แต่จุดเริ่มต้นงานเขียนยาวที่เห็น ก็มาจากการที่ผมประกาศหาของ ตอนแรกๆ ผมเขียนไม่ยาวเท่าไหร่แต่ ก็มีคนอ่านเนอะ หลังจากนั้นพอเห็นว่าคนชอบอ่านเราก็เลยพิมพ์ยาวขึ้น บอกตามตรงว่าแต่ละแคปชั่นมันไม่ง่ายสำหรับผมเลย เพราะผมอ่านหนังสือยังแทบไม่ออก พิมก็ไม่เก่ง พิมผิด แต่เพราะสารที่เราจะสื่อออกไปให้กับคนอื่นๆ เลยต้องมาคอยดูตัวสะกดว่าถูกต้องหรือเปล่า เพราะมีคนอ่านเยอะจึงต้องใส่ใจกับทุกอย่าง (อย่างนั้นเรามีวิธีอย่างไรหรือมีใครคอยช่วยเหลือบ้างไหม?) “ผมชินกับการพูดเยอะ เพื่อนๆ ชอบการเล่าเรื่องของผม ผมก็แค่เปลี่ยนวิธีการจากเล่าเป็นการเขียน แต่ก็มีปัญหาตรงที่ผมสะกดคำไม่ถูก แต่การที่ผมพิมพ์ถูกเพราะผมเปิดโทรศัพท์สองเครื่องคอยเช็คคำถูกคำผิด ผมไม่ฉลาดเลยด้านตัวอักษร”

แน็ก-ชาลี

นิยามความเป็นตัวเองที่คิดว่าเป็นแน็ก

(อยากให้นิยามความเป็นตัวเองคิดว่าแน็กสักหน่อย?) ผมเป็นคนสบายๆ เป็นคนอะไรก็ได้ เป็นคนไม่ได้ค่อยสนใจอะไรมากมาย (ชีวิตแน็กเคยกลัวหรือกังวลเรื่องอะไรบ้างไหม?) “จริงๆ ก็มีเยอะ พอเรายิ่งโตเรายิ่งรักพ่อ-แม่มากขึ้น และจะกังวลว่าเขาจะอยู่กับเราอีกนานแค่ไหน เราอยากให้เขามีสุขภาพดีนั่นแหละสิ่งที่เราหวัง แน็กอยากอยู่กับเขานานๆ อยากมีเงินดูแลให้เขาสบาย”

เปิดเหตุผลที่แน็กไม่ยอมรับเล่นละคร ไม่ใช่เพราะติสท์

(เห็นว่าแน็กมีปัญหาสุขภาพพอสมควรเลยทีเดียว?) “ครับ คือตอนนี้ผมไม่สามารถคุยและมองหน้าคนได้ ถ้าทำอย่างนั้นผมจะปวดหัวมากจนผมทำงานไม่ได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่ต้องทำงานแบบโดนไฟเยอะๆ  ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเพราะอะไร แต่ก็มีคิดว่าน่าจะมีผลมาจากแสงแฟลชที่เราเจอมาตั้งแต่เล็กๆ เราต้องเพ่งและมองไฟตลอดเวลา คนอื่นอาจะโชคดีไม่เป็น แต่สำหรับผมสายตาเราสายตาสั้นและเอียงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทำให้มีอาการปวดหัวมากแบบเหมือนมีอะไรมาทุบหัวตลอดเวลา บางครั้งก็ไข้ขึ้นเลย มันแย่มากสำหรับเรา ต้องกินยาแก้ปวดแรงๆ ตลอดเวลา ไม่อย่างนั้นเราอยู่ไม่ได้  ซึ่งมันมีผลกระทบต่อชีวิตเรามากเหมือนกัน อย่างแต่ก่อนเราชอบเล่นกีฬาที่ใช้ความเร็วเยอะ พอเป็นแบบนี้มันต้องตัดทิ้งหมด เราต้องตัดหลายสิ่งที่ในชีวิตเราทำได้หมด หลังจากที่แพ้ไฟจากกล้องและสปอร์ตไลท์ ยิ่งเราอยู่ตรงนี้ก็ใช้ชีวิตลำบาก ผมก็เลยเลือกที่จะไม่เล่นละคร เพราะละครมันโดนไฟแบบตรงๆ มาก ส่วนหนังและอีเว้นท์ผมยังรับอยู่ เพราะอย่างอีเว้นท์ครึ่งชั่วโมงจบอีเว้นท์แล้ว เราไม่ต้องเจอแสงนานๆ”

 แน็ก-ชาลี

“ผมเรียนไม่จบดีกว่า เพราะถ้าผมเรียนจบ ผมคงต้องมีชีวิตเหมือนคนปกติ”

(ถ้าสมัครงานในตอนนี้แน็กใช้วุฒิอะไร?) ” ถ้าเทียบก็ประมาณ ม.6 ครับ” (คิดว่าอุปสรรคในการเรียนของแน็กที่ผ่านมาคืออะไร?) “ไม่ชอบ (ตอบทันควัน) สำหรับผม ร่างกายผมไม่ได้รับเรื่องการเรียน แต่ผมชอบทำอย่างอื่น” (มีสักวิชาที่ชอบบ้างไหม?) “วิชาที่ชอบไม่มีเลยครับ ถ้าพอเป็นคำว่าเรียนหนังสือต้องเขียนหนังสือเมื่อไหร่ มันไม่ได้กับชีวิตผมจริงๆ” (มันกระทบกับชีวิตเราบ้างไหม?) “ผมเฉยๆ เพราะผมไม่เหมือนคนอื่น ผมมีพี่น้อง 6 คน เขาจบการศึกษาดีๆทั้งนั้น มีผมแค่คนเดียว แต่ผมก็รู้สึกภูมิใจกับสิ่งที่ผมเป็น ถ้าให้เลือกผมก็คิดว่าเลือกให้ผมเรียนไม่จบดีกว่า เพราะถ้าผมเรียนจบ ผมคงต้องมีชีวิตเหมือนคนปกติ  ผมได้ทำอะไรได้หลายอย่างมากกว่าคนอื่นเยอะมาก ผมมีความสุขกับการใช้ชีวิตที่ผมไม่ได้เรียน และได้ไปเจออะไรอย่างอื่นเยอะมาก 4 ปีที่คนอื่นเรียน ผมก็ไปทำมาหมดทุกอย่างบนโลกที่ผมอยากทำ”

 แน็ก-ชาลี

“สตีฟ จอบส์” ไม่ได้มีหลายคน “แน็ก-ชาลี” ก็เช่นกัน ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถเป็นแบบพวกเขาได้

(เคยได้ยินไหมที่เด็กๆ หลายคนใช้ข้ออ้างเรื่องไม่เรียน โดยยกตัวอย่างคนดังที่เรียนไม่จบเช่น “สตีฟ จอบส์”, “มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก” ฯลฯ แน็กเองในฐานะคนดังที่มีเด็กๆ ติดตามเป็นจำนวนมาก มีความเห็นในเรื่องนี้อย่างไรบ้าง?) “สิ่งหนึ่งที่ผมจะสอนเด็กทุกคนตลอด และเวลาสัมภาษณ์ถ้าไปย้อนดูผมจะพูดตลอดว่า ห้ามเอาผมเป็นตัวอย่างในเรื่องของการเรียน เด็กๆ ทุกคนอย่าเอาแน็กเป็นตัวอย่าง เพราะมันคือสิ่งไม่ดี และผมก็ไม่สนับสนุนคนที่มองว่าไม่จำเป็นต้องเรียน ผมเป็นคนที่เรียนไม่จบ แต่ผมก็ไม่สนับสนุน ผมจะมองแค่ว่าใครเรียนไม่จบและประสบความสำเร็จเรายอมรับแค่นั้น แต่ห้ามคิดว่ายุคนี้ไม่ต้องเรียนแล้ว เพราะถ้าคุณไม่เรียนคุณลำบากกว่าหลายคนเยอะมาก เพราะถ้าคุณเรียนไม่จบไม่มีวุฒิการศึกษา จะไปสมัครงานก็ยากกว่าคนอื่นแล้ว จะทำอะไรมันก็ยาก ทำไมผมพูดได้ คือตัวผมไม่แคร์อยู่แล้ว เพราะผมทำได้หลายอย่าง ผมมีอาชีพที่ผมรัก ผมเลยไม่เครียด แต่สำหรับคนอื่นอยากให้เรียนดีกว่า” (ถึงจะไม่ได้เรียนในตำรา แต่สกิลและประสบการณ์นอกตำราของแน็กก็เยอะมากๆ เลยใช่ไหม?) “หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าผมทำได้หลายอย่าง รวมถึงได้ใบอนุญาตขับเครื่องบิน (ขับเครื่องบินเล็ก) ผมค่อนข้างมีความทะเยอทะยานในการหาประสบการณ์ ในขณะที่คนอื่นเรียนหนังสือ ผมก็ไปขับเครื่องบิน ผมไปเรียนหลายอย่าง ผมเลยรู้สึกว่าผมเป็นเด็กที่ไม่เหมือนคนอื่น”


เรื่อง : นนทพร สุทธิพิบูลย์

ภาพ : เอกชัย​ สายสุวรรณ

 

The post จบม. 6 สอบขับเครื่องบิน ตอบคำถามแบบ “ชาลี” ไม่ชอบเรียน แต่อย่าเลียนแบบผม! appeared first on Praew (แพรว) – All Luxe You Can Reach.

สมการรอคอย ชุดประจำชาติไทยแลนด์ “ผีตาโขน Festival of Thailand”

$
0
0

งดงามสมการรอคอย ฟ้าใส-ปวีณสุดา ในชุด “ผีตาโขน Festival of Thailand” ชุดประจำชาติไทยแลนด์ สำหรับการประกวด Miss Universe 2019 งานนี้เสน่ห์ประเพณีไทยต้องดังไกลในจักรวาล

เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับ “ผีตาโขน Festival of Thailand” ชุดประจำชาติไทยแลนด์ ที่ “ฟ้าใส-ปวีณสุดา ดรูอิ้น” จะสวมใส่ในการประกวด Miss Universe 2019 เรียกได้ว่างดงามร่วมสมัยและเปี่ยมไปด้วยคุณค่าสมการรอคอย

ชุดประจำชาติไทยแลนด์

ชุด “ผีตาโขน Festival of Thailand” เป็นไอเดียที่ชนะเลิศจากการแข่งขันประกวดชุดประจำชาติ ในโครงการ “ความเป็นไทยร่วมสมัยที่ฟ้าใสจะใส่ไปคว้ามง” ซึ่งกองประกวดและคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมีความภูมิใจที่ได้เลือกผลงานการออกแบบจากเอกลักษณ์ท้องถิ่นอย่าง “ประเพณีผีตาโขน” ของอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ให้ไปมีบทบาทและเป็นที่จดจำบนเวทีจักรวาล

ในการผลิตชุดได้รับการสนับสนุนโดยกระทรวงวัฒนธรรม และทางทีมงานได้มีการเข้าไปค้นคว้าถึงรากเหง้าของวัฒนธรรมในพื้นที่ต้นกำเนิดผีตาโขน ซึ่งเป็นการละเล่นเฉพาะถิ่นที่เป็นอัตลักษณ์ของอำเภอด่านซ้ายในช่วงประเพณีบุญหลวง (เดือนกรกฎาคม) ที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อเรื่องการส่งพระเวสันดรกลับพระนคร โดยพวกผีตาโขนจะร่วมขบวนตามส่งเสด็จ แต่เดิมชื่อเรียกว่า “ผีตามคน” ก่อนเพี้ยนมาสู่ “ผีตาโขน” อีกทั้งยังเป็นการละเล่นที่มีความสนุกสนาน ผู้เล่นจะแต่งกายต้วยชุดที่ตัดเย็บจากผ้าเก่าหรือผ้ามุ้ง โดดเด่นด้วยการสวมหน้ากากที่ทำจากหวดนึ่งข้าวเหนียว และทางมะพร้าวทำเป็นจมูกงุ้ม เจาะเป็นหน้าตา และแต่งแต้มสีสันอย่างน่าเกรงขามตามความถนัดของช่างแต่ละคน

ชุดผีตาโขนสำหรับเวที Miss Universe 2019 เป็นชุดที่มีความงดงามร่วมสมัย นำเสนอลวดลายผ้าของภาคอีสาน ผ่านกระบวนการปักหลายเทคนิคเพื่อให้ความรู้สึกตระการตา ส่วนเครื่องศีรษะออกแบบให้มีความสูง 2.5 เมตร ใช้สื่อผสมวัสดุนานาชนิด โดยไม่มีการวาดลวดลายลงบนหน้ากาก แต่เก็บจุดเด่นไว้โดยให้ครอบศีรษะลักษณะคล้ายหวดนึ่งข้าวเหนียว ใบหน้ายาว จมูกโค้งงอ ตกแต่งความงามให้สื่อถึงความบันเทิงและสนุกสนาน

ชุดประจำชาติไทยแลนด์

นอกจากนั้นชุดผีตาโขนชุดนี้ยังเปี่ยมคุณค่าจากการนำวัสดุเหลือใช้ ซึ่งได้รับความร่วมใจจากกลุ่มแฟนคลับจัดหาถุงก๊อปแก๊ปหลากสี ช้อนพลาสติกหลากสี ขวดน้ำอัดลมพลาสติกสีเขียว เชือกฟางหลากสี หลอดดูดน้ำหลากสี ตระกร้าพลาสติกที่พังแล้ว ลูกโป่ง และพรมเช็ดเท้าสานแบบบาง ซึ่งเป็นของใช้แล้วและกำลังจะกลายเป็นขยะ แต่ถูกมาเพิ่มคุณค่าในรูปแบบของงานศิลปะโดยไม่มีการนำเทคโนโลยีชั้นสูงมาใช้ทำรีไซเคิล แต่เป็นการทำด้วยสองมือของศิลปิน

ปวีณสุดา ดรูอิ้น

 

ปวีณสุดา ดรูอิ้น


ภาพเพิ่มเติม : Siwat Chanachai

สามารถติดตามอ่านบทความอื่นๆเพิ่มเติมได้ที่นี่ 

จบม. 6 สอบขับเครื่องบิน ตอบคำถามแบบ “ชาลี” ไม่ชอบเรียน แต่อย่าเลียนแบบผม!

มุ่งมั่นสมศักดิ์ศรีสาวไทย เบื้องหลังความสำเร็จก่อนคว้าชัย มิสอินเตอร์ฯ 2019 ของ “บิ๊นท์ สิรีธร”

พร้อมสู้ศึก Miss World 2019 “เกรซ-นรินทร” ลัดฟ้าสู่กรุงลอนดอน

สวยเฉียบฉลาดเลือก ชุดแต่งงาน โดนัท มนัสนันท์ คุ้มค่าคุ้มราคา ใส่กี่รอบก็ได้  

Anniversary! พุฒ-พุฒิชัย สามีที่แสนเสมอต้นเสมอปลายในสายตา จุ๋ย-วรัทยา

รวยน้ำใจสม่ำเสมอ อั้ม-พัชราภา หยิบยื่นความช่วยเหลือให้พี่น้องวงการบันเทิง

ขั้วตรงข้าม “ปราง-นวลวรรณ พรรณเชษฐ์” ลูกสาวคนเก่งของ มาดามแป้ง

The post สมการรอคอย ชุดประจำชาติไทยแลนด์ “ผีตาโขน Festival of Thailand” appeared first on Praew (แพรว) – All Luxe You Can Reach.


หลากหลายไอเดีย ชุดประจำชาติ เตรียมขึ้นเวที Miss Universe 2019

$
0
0

ประมวลภาพชุดประจำชาติ 5 ประเทศ สร้างสรรค์หลากหลายไอเดีย ที่เตรียมขึ้นเวทีการประกวด “มิสยูนิเวิร์ส 2019 ” Miss Universe 2019

หลังจากค้นหาตัวแทนสาวงามจากทั่วโลก เวที “มิสยูนิเวิร์ส 2019” Miss Universe 2019 ก็พร้อมเข้าสู่การประกวดครั้งที่ 68 แล้ว โดยในรอบตัดสินจะมีขึ้นตามเวลาประเทศไทย ในวันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม ที่ เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา ซึ่งล่าสุดหลายประเทศก็ได้มีการทยอยปล่อยภาพชุดประจำชาติหลากหลายไอเดียออกมาให้แฟนคลับนางงามทั่วโลกได้ตื่นเต้น ซึ่งวันนี้ “แพรวดอทคอม” ได้รวบรวมชุดจาก 5 ประเทศมาเป็นน้ำจิ้มให้ได้ชมกันก่อน

Thailand

“ไทย” (Thailand) เปิดตัวชุดประจำชาติ “ผีตาโขน Festival of Thailand” ซึ่งเป็นไอเดียที่ชนะเลิศจากการแข่งขันประกวดชุดประจำชาติ ในโครงการ “ความเป็นไทยร่วมสมัยที่ฟ้าใสจะใส่ไปคว้ามง” ออกแบบจากเอกลักษณ์ท้องถิ่นอย่าง “ประเพณีผีตาโขน” ของอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ให้ไปมีบทบาทและเป็นที่จดจำบนเวทีจักรวาล

โดยชุดนี้ยังมีคอนเซ็ปต์ที่โดดเด่น นอกจากสื่อความเป็นไทยก็คือการนำวัสดุเหลือใช้ ซึ่งได้รับความร่วมใจจากกลุ่มแฟนคลับจัดหาถุงก๊อปแก๊ปหลากสี ช้อนพลาสติกหลากสี ขวดน้ำอัดลมพลาสติกสีเขียว เชือกฟางหลากสี หลอดดูดน้ำหลากสี ตะกร้าพลาสติกที่พังแล้ว ลูกโป่ง และพรมเช็ดเท้าสานแบบบาง ซึ่งเป็นของใช้แล้วและกำลังจะกลายเป็นขยะ แต่ถูกนำมาเพิ่มคุณค่าในรูปแบบของงานศิลปะ

ฟ้าใส ปวีณสุดา ดรูอิ้น

Puerto Rico

ชุดประจำชาติของสาวงามจาก “เปอร์โต ริโก” (Puerto Rico ) ดีไซน์เป็นรูปดอกชบา ราชินีแห่งดอกไม้เมืองร้อน และเป็นดอกไม้ประจำชาติ บางพื้นที่เรียกว่า “กุหลาบแห่งอัลเทีย” หรือ “กุหลาบแห่งชารอน” ตัวชุดจะคลุมตัวนางงามก่อนจะเปิดออกมาเป็นดอกไม้ เครื่องหัวทำเป็นยอดเกสรดอกไม้ กระโปรงสีแดงเป็นกลีบดอก ส่วนด้านล่างนั้นสวมเป็นบูทสีเขียวเป็นกลีบเลี้ยง

Miss Universe 2019
ภาพจาก : Missosology

Malaysia

เล่นใหญ่รัชดาลัยเธียเตอร์ต้องยกให้ “มาเลเซีย” (Malaysia) ที่มาในคอนเซ็ปต์ความอร่อยสายหวานออกแบบโดย “Carven Ong” ดีไซน์เนอร์วัย 51 ปี เครื่องแต่งกายมีน้ำหนัก 28 กิโลกรัม ได้รับแรงบัลดาลใจจากความหลากหลายทางวัฒนธรรมของมาเลเซีย ใช้เวลาการทำเป็นเวลา 3 เดือน ผ้าที่ใช้ในชุดหลักเป็นผ้า songket ซึ่งเป็นผ้าหรูที่มักใช้ในงานแต่งงาน

สำหรับอุปกรณ์ประกอบชุดได้ไอเดียมาจากขนมดั้งเดิมของชาวมาเลย์และชาวเปอรานากัน ประกอบด้วย Onde-Onde คล้ายกับขนมต้ม, Kuih Koci ขนมโกชี , Ang Ku kuih ขนมอังกู๊, Kuih Talam, Kue lapis, red eggs ซึ่งรวมอยู่ในตะกร้าพื้นเมือง โดยจากภาพเคลื่อนไหวชุดนี้มีการใช้ล้อเข้ามาช่วยรับน้ำหนักและเลื่อนย้าย แม้จะดูเทอะทะแต่กลับค่อนข้างคล่องตัว ไม่ว่าจะหันซ้ายหันขวาก็ทำได้อย่างทันท่วงที

มาเลเซีย

Indonesia 

“อินโดนีเซีย” (Indonesia) เองก็เพิ่งเปิดตัว 4 ชุดที่จะใส่ขึ้นประกวดบนเวทีมิสยูนิเวิร์สไปสดๆ ร้อนๆ โดยหนึ่งในนั้นก็มีชุดประจำชาติที่ใช้ชื่อว่า “Sang Wanita” ออกแบบโดย “Morphacio” และ Mayarith Couture ได้รับแรงบัลดาลใจมาจากตำนานนักรบหญิง “Srikandi”

ภาพจาก : angelopedia.com

Vietnam

ยังคงคอนเซ็ปต์สับขาหลอกเช่นทุกปี สำหรับ “เวียดนาม” (Vietnam) ซึ่งปีนี้ส่งภาพออกมาให้แฟนนางงามได้ตื่นเต้น 3 ชุด ซึ่งแต่ละชุดนั้นมีดีไซน์ที่โดดเด่นมาก เริ่มที่ชุดแรกกาแฟนมเย็น “Ca Phe Phin Sua Da” ออกแบบโดย “Tran Nguyen Minh Duc” ได้แรงบันดาลใจมาจากกาแฟเวียดนามที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์

ชุดต่อมาคือ “Con Co” ออกแบบโดย “Nguyen Duc Liem” ชุดนี้มีแง่มุมที่น่าสนใจคือด้านหลังของชุดค่อนข้างทำออกมาอย่างซับซ้อนในคอนเซ็ปต์นาข้าวที่มีนกกระสาซึ่งสะท้อนวิถีชีวิตในชนบทของเวียดนาม ปิดท้ายที่ชุด “Vung Dat Chin Rong” (The Land of Nine Dragons) ออกแบบโดย “Hoang Huu Kha” สำหรับชุดนี้ใช้เวลาทำ 1,000 ชั่วโมง มีน้ำหนัก 30 กิโลกรัม สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือบริเวณหัวและหัวไหล่ซึ่งผู้สวมบอกว่าค่อนข้างเป็นอุปสรรค

Miss Universe 2019

Miss Universe 2019

Miss Universe 2019

Miss Universe 2019


 

The post หลากหลายไอเดีย ชุดประจำชาติ เตรียมขึ้นเวที Miss Universe 2019 appeared first on Praew (แพรว) – All Luxe You Can Reach.

เจาะลึก 4 ละครเข้ารอบสุดท้าย รางวัล Asian Academy Creative Awards 2019

$
0
0

เจาะลึก 4 น้ำดีของช่อง 3 เข้ารอบสุดท้ายชิงรางวัล Asian Academy Creative Awards 2019 ประกาศผลธันวาคมนี้ ที่ ประเทศสิงคโปร์

Asian Academy Creative Awards 2019

รางวัล Asian Academy Creative Awards 2019 เป็นรางวัลคนบันเทิงยิ่งใหญ่ระดับเอเชีย ซึ่งจะมีการประกาศผลรางวัลในวันที่ 6 ธันวาคม 2562 ที่ประเทศสิงคโปร์ สำหรับในปีนี้มีคอนเทนท์ต่างๆ ของประเทศไทยที่ได้คัดเลือกเป็นตัวแทนของประเทศ ที่เรียกว่า Regional Winner เพื่อไปเข้าชิงกับคู่แข่งอีก 15 ประเทศ เพื่อเลือกผู้ชนะเลิศของทวีปเอเชียในส่วนของคอนเทนท์ละคร และละครช่อง 3 ได้เป็น Regional Winner ส่งเข้าชิงถึง 9 รางวัล ซึ่งมากที่สุด จากผลงานของละคร 4 เรื่องได้แก่ “กรงกรรม” 6 รางวัล, “ทองเอก หมอยาท่าโฉลง” 1 รางวัล, “อังกอร์” 1 รางวัล และ “วัยแสบสาแหรกขาด โครงการ 2” 1 รางวัล มาร่วมเจาะลึกรางวัลของละครแต่ละเรื่องว่ามีรางวัลอะไรบ้าง

เริ่มกันที่ละคร “กรงกรรม” ที่มีผลงานเข้ารอบถึง 6 รางวัล ได้แก่ รางวัล Best Drama Series ละครยอดเยี่ยม, รางวัล Best Actor in a Leading Role นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม “เจมส์ จิรายุ”, รางวัล Best Actor in a Supporting Role “เด่นคุณ งามเนตร”, รางวัล Best Actress in a Supporting Role “แพร์ พิชชาภา”, รางวัล Best Direction (Fiction) โดย “อ๊อฟ พงษ์พัฒน์”, รางวัล Best Theme Song ได้แก่ เพลง “ผิดหรือที่รักเธอ” ร้องโดย “ใหม่ เจริญปุระ”

เหตุผลที่ทุกคนต้องดู “กรงกรรม” ทั้งๆที่เป็นละครสะท้อนสังคมดราม่าหนัก ไม่ใช่ละครเน้นความสวยงามมีตอนจบ พระ-นาง ต้องรักกัน แต่การวางโครงเรื่องของ “กรงกรรม” อัดแน่นไปด้วยสาระ นำเสนอ‘ความรัก’ในหลายรูปแบบ ตัวละครหลัก “นางย้อย” แม่ผัวที่รักลูกชายมากกว่าตัวเอง ตั้งความคาดหวังกับลูกทุกคน และ“เรณู” ลูกสะใภ้โสเภณีสู้ชีวิต ที่ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้ชีวิตใหม่ที่ดีกว่าเดิม เมื่อความรักตั้งอยู่บนความคาดหวังความเสียใจและผิดหวังจึงตามมา ถึงตัวหลักทั้งสองจะเป็นตัวเดินเรื่อง แต่แทนที่จะทิ้งน้ำหนักไว้ที่ตัวละครทั้งสอง ละครยังให้ความโดดเด่นกับตัวละครอื่นๆเท่าๆกัน ไม่มีตัวไหนถูกทิ้งให้ด้อยลง คนดูจึงเกิดความรักในตัวละครทุกตัว ประกอบกับการแสดงที่ดีมากของนักแสดงในเรื่องทั้ง ใหม่-เจริญปุระ, เบลล่า-ราณี, เจมส์-จิรายุ, แพร์-พิชชาภา และ เด่นคุณ งามเนตร ที่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกให้กับคนดูอย่างเต็มที่ และเกิดความรักในละคร “กรงกรรม” จนได้รับเลือกเข้าชิงรางวัล ละครดราม่ายอดเยี่ยม, ผู้กำกับ และเพลงประกอบละครยอดเยี่ยม

ในส่วนนักแสดงเริ่มที่ “เจมส์ จิรายุ” เข้าชิงรางวัล Best Actor in a Leading Role ในบท “อาซา” ลูกชายคนที่สามของแม่ย้อย ที่ดูเหมือนบทจะง่าย วางพื้นฐานไว้ให้เป็นเด็กผู้ชายโลกสวย เชื่อฟังพ่อแม่ เสียสละ และอยู่ในกฎระเบียบของแม่ย้อย ทั้งที่จริงๆแล้วบทของ อาซา มีความซับซ้อนทางความคิดและจิตใจ มีความขัดแย้งในตัว สิ่งที่อยากทำ กับความเป็นจริง มันต่างกัน เจมส์-จิรายุ ต้องแสดงออกทางสายตา และร่างกาย เพื่อสื่อให้คนดูเข้าใจเห็นใจในความรู้สึก รัก กับ อึดอัด ในเวลาเดียวกันมันทรมาน อาซา เป็นคนดี น่ารัก น่าสงสาร และจิตใจงดงามไม่เสแสร้ง จึงเป็นที่รักของคนดูจนได้เข้าลุ้นรางวัลในครั้งนี้

Asian Academy Creative Awards 2019

ส่วน “แพร์-พิชชาภา” เข้าชิงรางวัล Best Actress in a Supporting Role ในบท “พิไล” ลูกสะใภ้คนที่สองของบ้านแม่ย้อย นิสัยทะเยอทะยาน ต้องการความเหนือกว่า และมีความโลภในจิตใจ ถือว่า แพร์-พิชชาภา ถ่ายทอดความรู้สึกคนขี้อิจฉา โลภโมโทสัน ออกมาได้แซ่บ..!! อย่างไม่น่าเชื่อ ความแซ่บ..!! ของ “ซ้อพิไล”

แพร์-พิชชาภา

สามารถทำให้เกิดกระแสในสังคมออนไลน์ไปทั่วโดยเฉพาะ ‘พันทิพ’ ว่าบทบาทนี้สามารถเข้าชิงได้ถึงรางวัลนำหญิงยังได้เลย เพราะแค่ฉากเดียว พิไล สามารถทำให้คนดูเกิดความรู้สึกหลากหลาย ทั้งสงสาร สมน้ำหน้า และเห็นใจในเวลาเดียวกัน อีกคนของละคร “กรงกรรม” คือ “เด่นคุณ งามเนตร” รางวัล Best Actor in a Supporting Role ในบท “ไอ้ก้าน” ชายหนุ่มแสนจนคนซื่อ ผู้ชายธรรมดาแสนธรรมดา แต่หน้าตาดีรูปร่างดี จนสาวๆแอบหลงรัก แต่มาชอบลูกสาวกำนัน รักจริงหวังแต่ง ทั้งๆที่ความรักครั้งนี้ความเป็นไปได้แทบจะไม่มี ต้องฝ่าฟันอุปสรรค์จนท้อแท้ เด่นคุณ งามเนตร ถ่ายทอดบทบาทของ ไอ้ก้าน ออกมาได้อย่างน่าสงสาร ทำให้ใครๆก็หลงรัก และชื่นชอบในบทบาทการแสดงจนเกิดแฟนคลับมากมาย กระแสโซเชียลกระหึ่ม..!! เอาใจช่วย ไอ้ก้าน ให้พิชิตใจพ่อตาแม่ยายได้สำเร็จ จนได้เข้าชิงรางวัลในครั้งนี้ ทีมละคร “กรงกรรม” ทั้งผู้กำกับ “อ๊อฟ พงษพัฒน์”, “เจมส์-จิรายุ”, “เด่นคุณ งามเนตร” “แพร์-พิชชาภา” รวมถึง “แดง-ธัญญาโสภณ” ผู้จัด, “น้องบีบี-เอกนรี” ลูกสาวคนเก่งทายาทละคร ร่วมเดินทางไปลุ้นการประกาศผลรางวัลในครั้งนี้ครบทีม

กรงกรรม

ทางด้านรางวัล Best Comedy Performance ได้แก่ “มาริโอ้ เมาเร่อ” จากเรื่อง “ทองเอก หมอยาท่าโฉลง” ละครพรีเรียด-คอมเมดี้ ย้อนยุค ที่มีความแปลกไม่เหมือนใคร เป็นละครตลกแฝงความจริงใจของหมอยาไทยโบราณคนหนึ่ง เป็นคนธรรมดา มีความตลกบนพื้นฐานของจิตใจ มีความมุ่งมั่นที่จะรักษาคนไข้ด้วยความจริงใจ พร้อมสอดแทรกสาระความรู้ทางยาสมุนไพรโบราณในการช่วยรักษาโรค ทำให้ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจ ซึ่งการคัดเลือกนักแสดงมารับบทถือว่าสำคัญ มาริโอ้-เมาเร่อ มีพื้นฐานของความเป็นคนตลก มีสายตาที่อ่อนน้อม จริงใจ ขี้เล่น จึงเหมาะสมลงตัว ทำให้พ่อหมอทองเอกได้รับความรักจากคนดูทั่วไปประเทศ และได้รับเลือกขึ้นเป็นตัวแทนประเทศไทยลุ้นรางวัล Best Comedy Performance ต่อไป

ทองเอก หมอยาท่าโฉลง

เมื่อมีผลงานละครและนักแสดงยอดเยี่ยม ก็ต้องมีรางวัล Best Original Screenplay เจ้าของบทประพันธ์และผู้เขียนบทโทรทัศน์ยอดเยี่ยม จากละครเรื่อง “วัยแสบสาแหรกขาด โครงการ 2” ได้แก่ “ณัฐิยา ศิรกรวิไล” และทีมงาน เป็นละครโทรทัศน์ไทยแนวโรแมนติก-ดราม่า สร้างจากเค้าโครงเรื่องโดย “ณัฐิยา ศิรกรวิไล” เขียนบทโทรทัศน์โดย ณัฐิยา ศิรกรวิไล, กุศลิน เมฆวิภาต, ชญานิน, สายขิม, วาณี, กัลยาณมิตร กำกับการแสดงโดย “ศุภณา ครุฑนาค” นำแสดงโดย “อาเล็ก-ธีรเดช เมธาวรายุทธ” และ “จ๊ะ-จิตตาภา แจ่มปฐม” ละครน้ำดีตีแผ่ปัญหาสังคมที่กวาดรางวัลจากภาคแรกอย่างมากมาย สำหรับโครงการ 2 ถือว่ามีความเข้มข้นเพิ่มขึ้น ศึกษาทุกปัญหาแบบเจาะลึกมากกว่าภาคแรก สะท้อนปัญหาที่สามารถเกิดขึ้นจริงในสังคมยุคปัจจุบัน ผ่านการแก้ปัญหาจากบุคคลที่เข้าใจปัญหา แต่บุคคลคนนั้นกลับมีปัญหาของตัวเองเช่นกัน เรียกว่าทิ้งจุดสำคัญของปัญหาเอาไว้หลายจุด เป็นเรื่องยากอีกเรื่องหนึ่งที่จะต้องทำให้คนดูไม่เครียดและร่วมติดตามเรื่องราวไปจนจบเรื่อง บทละครจึงสำคัญอย่างมาก ผู้เขียนบทและทีมงานต้องทำการบ้านศึกษาเรื่องราวอย่างละเอียดก่อนคนอื่นๆ เพื่อขยายให้คนดูเกิดความเข้าใจ รางวัลนี้จึงสำคัญ ถือเป็นความภูมิใจของคนไทยอีกหนึ่งรางวัลซึ่ง“คุณเอิน-ณิธิภัทร์” ผู้จัด ร่วมเดินทางไปลุ้นรางวัลด้วยตัวเอง

วัยแสบสาแหรกขาด โครงการ 2

อีกหนึ่ง รางวัล Best Visual or Special FX in TV Series สุดยอด สเปเชี่ยลเอฟเฟค ที่น่าลุ้น กับละครเรื่อง “อังกอร์” เป็นผลงานสุดคลาสสิกของ ฉลอง ภักดีวิจิตร หรือ อาหลอง ซึ่งคนดูติดกันทั้งบ้านทั้งเมืองไม่ว่าจะมาทำในเวลาไหน ก็ยังคงความนิยมทั้งๆที่รู้เรื่องราวของ อังกอร์ กันแล้วส่วนใหญ่ เพียงแค่ได้ยินประโยคที่ว่า “ปิ้งไก่ ระเบิดภูเขา เผากระท่อม” จะรู้กันทันทีว่าละครแอคชั่น เอฟเฟคซีจี ฟอร์มไทยแลนด์

กำลังมา และเมื่อเพลงขึ้น “เสมือนท้องฟ้าวิปริต แปรปรวนทันใด” แล้วสามารถร้องต่อประโยคได้ว่า… “เปรี้ยงปร้างสว่างไสวอันตรายไปทุกที่…อังกอร์…” แสดงว่าช่วงเวลาของเสือร้ายที่กำลังทำให้ป่าทั้งป่าปั่นป่วนได้เกิดขึ้นแล้ว คนตายต้องมี คนบาดเจ็บต้องมา นั่นคือ “อังกอร์” ละครแอ็คชั่น ดราม่า แฟนตาซี ทั้งหมดนี้คือความตั้งใจและใส่ใจของทีมงานค่าย อาหลองจูเนียร์ เมื่อละครออกอากาศทำให้เรตติ้งกระฉูดไม่แพ้เรื่องอื่นๆถือเป็นมหากาพย์ของละครที่ไม่เหมือนใคร การหลบหนีที่มาพร้อมความหวาดเสียว จากระเบิด อำนาจมนต์ดำ และจากสถานที่อันลี้ลับต่างๆ พร้อมกับ เอฟเฟคซีจี ที่ใส่มาเต็มที่ จึงส่งผลให้ละครเหมือนมีมนต์สะกด และได้เข้าลุ้นรางวัลในครั้งนี้

อังกอร์

รางวัล Asian Academy Creative Awards 2019 จะประกาศผลในคืน‪วันที่ 6 ธันวาคม ‪2562 ณ โรงละครวิคตอเรีย ประเทศสิงคโปร์ ร่วมส่งกำลังใจ ร่วมลุ้นไปกับผลงานละคร ผู้จัด ผู้กำกับ นักเขียนบทละคร และนักแสดง ทั้ง 9 รางวัล กับละครทั้ง 4 เรื่อง ให้ได้รับรางวัลกันให้มากที่สุด


ข้อมูลจาก : ช่อง 3

The post เจาะลึก 4 ละครเข้ารอบสุดท้าย รางวัล Asian Academy Creative Awards 2019 appeared first on Praew (แพรว) – All Luxe You Can Reach.

เวลคัมทูไทยแลนด์ บิ๊นท์-สิรีธร มิสอินเตอร์เนชั่นแนล 2019 หอบมงกุฎกลับบ้านเกิด

$
0
0

แฟนนางงามไทยเต็มสนามบินสุวรรณภูมิ ต้อนรับการกลับมาของ บิ๊นท์-สิรีธร ลีห์อร่ามวัฒน์ มิสอินเตอร์เนชั่นแนล 2019 ซึ่งสร้างประวัติศาสตร์เป็นสาวไทยคนแรกที่พิชิตมงกุฎนี้

เดินทางกลับมาถึงเมืองไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับ บิ๊นท์-สิรีธร ลีห์อร่ามวัฒน์ มิสอินเตอร์เนชั่นแนล 2019 ซึ่งสร้างประวัติศาสตร์เป็นสาวไทยคนแรกที่พิชิตมงกุฎได้สำเร็จ โดยวันที่ 21 พ.ย. 2562  เมื่อเวลา 18.00 น. เธอได้เดินทางมาถึงท่าอากาศยาน สุวรรณภูมิ ซึ่งกองประกวดนางสาวไทย ได้จัดงานแถลงข่าวต้อนรับโดยมีครอบครัวและแฟนคลับมาต้อนรับเป็นจำนวนมาก โดยหลังจากเสร็จพิธีการบนเวที สาวงามได้เปิดใจถึงความรู้สึกกับสื่อมวลชนไทยด้วย

 มิสอินเตอร์เนชั่นแนล 2019

ความรู้สึกตั้งแต่ลงเครื่องบินมาเป็นอย่างไรบ้าง ?

“ตอนแรกไม่ได้คิดอะไร บรรยากาศตอนที่มาจากญี่ปุ่นก็จะเงียบๆ แต่พอเครื่องบินแลนดิ้งก็มีคนมาต้อนรับ ตอนนั้นเราก็ตื่นเต้นระดับหนึ่งแล้ว แต่พอเดินออกมาที่หน้าประตู เจอคนมาต้อนรับเยอะมากรู้สึกใจเต้นแรงและน้ำตาจะไหลตลอด บิ๊นท์ขนลุกเลยไม่คิดว่าชีวิตจากเด็กธรรมดาทั่วไป ไม่เคยคิดว่าจะมีใครมารอ แต่พอวันนี้มีคนมาต้อนรับก็รู้สึกน้ำตาจะไหลตั้งแต่ก้าวแรกเลย บิ๊นท์ดีใจและมีพลังมาก แล้วก็ภูมิใจว่าเราทำหน้าที่ให้ประเทศไทยได้แล้วนะ เพราะแฟนๆก็รอมงกุฎจากเวทีนี้มานาน”

คุณพ่อ-คุณแม่ก็ร้องไห้ด้วย?

“คุณพ่อเซนซิทีฟมากเพราะบิ๊นท์ไม่ได้เจอคุณพ่อมาร่วม 2 เดือนแล้ว เพราะติดภารกิจตั้งแต่เวทีนางงามกรุงเทพฯ นางสาวไทย จนมาถึงมิสอินเตอร์เนชั่นแนล หนูเองก็เหมือนคุณพ่อคือค่อนข้างเซนซิทีฟร้องไห้ง่าย น้ำตาจะไหลตาม ต้องบอกให้คุณแม่ช่วยปลอบคุณพ่อหน่อยเพราะไม่อย่างนั้นบิ๊นท์จะร้องไห้ตาม คือช่วงที่แข่งขันจะไม่ค่อยโทรศัพท์หาครอบครัวเพราะว่ากลัวจะคิดถึงมากและหลุดโฟกัสจากการทำงาน ก็เลยคิดว่าไม่โทรดีกว่าและรอกลับมาเจอทีเดียว ซึ่งตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะได้ตำแหน่งที่หนึ่ง เดี๋ยวก็ได้กลับมาสู่อ้อมอกคุณพ่อ-คุณแม่แล้ว แต่พอมันได้ปุ๊บมันก็ดีใจแต่คุณพ่อ-คุณแม่ก็บอกว่าทำไมไปไกลขนาดนี้”

 มิสอินเตอร์เนชั่นแนล 2019

ก่อนจะไปคาดหวังกับมงกุฎมากน้อยแค่ไหน?

“คือเป็นคนที่มักจะกำหนดเป้าหมายของตัวเองไว้ไกลๆ คือที่ประกวดเราก็อยากได้ที่หนึ่งนะแต่ว่าไม่ได้หวังมากว่าจะต้องได้ ที่ไม่ได้หวังไว้มากเพราะว่ากองประกวดเขาเก็บทุกอย่างเงียบมากไม่บอกไม่หลุดเลยอะไรเลย ไปรู้พร้อมกันวันสุดท้ายจริงๆ ส่วนตัวก็มองว่าตัวเองน่าจะเป็นม้ามืดเพราะตอนที่เก็บตัวมีตัวเก็งเยอะมาก แล้วปีนี้ผู้เข้าแข่งขันสวยและมีความสามารถมากๆ นั่นจึงเป็นอันนึงที่ทำให้เราไม่คิดว่าจะเป็นเรา จริงๆ ตอนแรกบิ๊นท์ก็เตรียมจับมือกับเวียดนามแล้ว เพราะคิดว่าอีกคนจะได้เพราะเขาตอบคำถามดี แต่พอประกาศว่าเป็นชื่อเราก็เลยตกใจ แว๊บแรกคือสมองไม่สั่งการแล้วจนเพื่อนเข้ามากอดก็เลยเป็นโมเมนต์ที่แบบดีใจมาก”

จำคำตอบบนเวทีของตัวเองได้ไหม?

“คำถามคือเชียร์ผู้หญิงให้ได้ทำสิ่งต่างๆ ซึ่งบิ๊นท์ได้เลือกการเชียร์จากประสบการณ์ของตัวเองเพื่อเป็นแรงบันดาลใจว่า ถ้าเกิดผู้หญิงธรรมดาอย่างบิ๊นท์ทำได้ พวกคุณก็ทำได้เหมือนกัน บิ๊นท์รู้สึกว่าความเป็นคนธรรมดาทุกคนต้องเคยเป็นมาก่อนไม่มีใครเกิดมาแล้วเป็นดาราเลยหรือไม่มีใครเกิดมาแล้วประสบความสำเร็จเลย บิ๊นท์คิดว่าเป็นคำตอบที่น่าจะให้แรงบันดาลใจกับผู้หญิงคนอื่นๆได้ ตอนนั้นเราก็แค่อยากสื่อสารออกไปว่าเราอยากให้ผู้หญิงทุกคนกล้าในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำ และลงมือทำเลยถ้ามันเป็นความฝันเรา”

 มิสอินเตอร์เนชั่นแนล 2019

รู้สึกอย่างไรบ้างที่เอาชนะคำสบประมาทได้?

“ไม่เชิงคำสบประมาทหรอก เพราะว่าจริงๆบิ๊นท์ก็เข้าใจว่าทุกคนอยากได้ตัวแทนประเทศที่ดีที่สุด คงไม่มีใครอยู่ดีๆลุกขึ้นมาด่าเพราะเราไม่สวยมันคงไม่ใช่เหตุผล บิ๊นท์มองว่าเขาอยากได้ตัวแทนที่ดี แต่ตอนนั้นก็ยอมรับว่าเรายังขาดในหลายจุดในเวทีนั้นเพราะเราเพิ่งจะเริ่ม”

มีท้อแท้บ้างไหม?

“ไม่ค่อยท้อค่ะ เพราะบิ๊นท์เป็นคนที่ถ้ามีอะไรที่เข้ามาแล้วทำให้เราเครียด เราจะทิ้งเร็วมากเพราะเรารู้สึกว่ามันจะทำให้เราไม่พัฒนาและมันจะทำให้เราทำเป้าหมายที่หวังไว้ไม่สำเร็จ ก็เลยเลือกทิ้งไปก่อน แต่เราก็เก็บคำติมาปรับปรุงนะ ซึ่งวันนี้มันก็เป็นบทพิสูจน์นึงที่บิ๊นท์ทำให้ทุกคนเห็นได้แล้ว ไม่ใช่ความรู้สึกสะใจแต่เป็นความรู้สึกว่าอยากให้คนภูมิใจในตัวฉัน บิ๊นท์เสียใจแค่วันแรก หลังจากได้ตำแหน่งและโดนด่าบิ๊นท์ตกใจร้องไห้ แต่พอวันที่สองเราก็คิดได้ว่าเขาคงติเพื่อก่อ ฉะนั้นเราเลยคุยกับทีมว่าต้องเพิ่มตรงนั้นตรงนี้ พัฒนาไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็อย่างที่ทุกคนเห็นว่าไม่มีใครเกลียดขนาดนั้นหรอกถ้าเราพัฒนาแล้ว สุดท้ายทุกคนก็กลับมารักเราบิ๊นท์รู้สึกภูมิใจมากๆ”

คำวิจารณ์ไหนที่กระทบกับจิตใจมากที่สุด?

“จำไม่ได้ เพราะบิ๊นท์รู้สึกว่ามันเป็นคำวิจารณ์ภายนอกรูปลักษณ์เราอาจจะยังไม่ดี และบิ๊นท์เองก็ไม่ได้เป็นคนที่มายด์เรื่องรูปลักษณ์ขนาดนั้น บิ๊นท์ไม่ได้แคร์ว่าเราต้องสวยที่สุดในการแข่งขัน เรามองว่ามันเป็นความท้าทายที่ว่าฉันจะทำดีให้ดูเองว่าบิ๊นท์ทำได้”

สวยขึ้นมั่นใจขึ้น?

“สวยขึ้นก็ต้องขอบคุณคุณหมอจริงๆ บิ๊นท์ไม่ได้ศัลยกรรมแต่จะเป็นการปรับแต่งรูปหน้า ฟิลเลอร์ ไฮฟู เทอร์มาจ คือคุณหมอจะออกแบบและคุยกับเราตลอดว่าโอเคไหม ซึ่งหลายอันเรากลัว แต่หัวใจก็คิดอย่างเดียวเลยว่าเราจะเป็นตัวแทนประเทศนะ จะไม่ทำเหรอ จริงๆบิ๊นท์ไม่เคยไปทำอะไรกับหน้าเลยจนกระทั่งครั้งนี้ที่เราต้องปรับรูปหน้านิดนึง เพราะเวลาออกกล้องหน้ามันจะขยาย ต่อให้หน้าจริงเราจะเข้ารูปแต่พอออกทีวีมันจะขยาย ซึ่งมันก็เป็นส่วนหนึ่งในงานเราบิ๊นท์จึงยอมเจ็บตัว ปกติแล้วบิ๊นท์จะกลัวมาก และค่อนข้างพอใจในหน้าเดิมของตัวเองอยู่แล้ว”

 มิสอินเตอร์เนชั่นแนล 2019

ลงทุนลงแรงไปทุกอย่างภูมิใจไหมกับความสำเร็จ?

“ภูมิใจมากที่สุดในชีวิตแล้ว บิ๊นท์ก็เคยคิดตั้งแต่เด็กๆ เวลามองนักกีฬาโอลิมปิคหรือนักกีฬาระดับชาติเขาได้เหรีญทองรู้สึกว่าเขาเท่จังเลย เขาเป็นตัวแทนประเทศ เขาขลังมาก แล้วเราอยากทำอะไรให้ประเทศอย่างนั้นได้บ้าง แต่ตอนเด็กๆเราก็ไม่ได้คิดว่าเราจะทำได้จนกระทั่งเราได้ลองเดินตามความฝันที่เราอยากทำจริงๆ และมันทำได้ ก็เลยมีความสุขและอิ่มใจมาก ยิ่งวันนี้เห็นทุกคนมาต้อนรับก็ยิ่งดีใจมากๆ”

ชีวิตเปลี่ยนไปอย่างไร?

“บิ๊นท์เพิ่งกลับมาไทยยังไม่ได้รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงถึงแม้ทุกคนจะบอกว่าชีวิตเปลี่ยนแล้วนะ แต่เรายังรู้สึกว่าเป็นตัวเราเยอะอยู่ดี แต่ถ้ามาถามหลังจากนี้อาจจะเปลี่ยนคำตอบ แต่ตอนนี้ยังเป็นคนเดิมยังเหมือนเดิม”

ภารกิจหลังจากนี้ต้องทำอะไรบ้าง?

“หลักๆก็จะมีงานด้านการกุศล แล้วก็มีออกรายการต่างๆนะคะ ก็ติดตามรอชมสัมภาษณ์ได้ช่วงเวลานั้นอาจจะเหนื่อยและเปลี่ยนคำตอบได้”

 มิสอินเตอร์เนชั่นแนล 2019

วันนี้นำมงกุฎกลับมาบ้านเกิดด้วย?

“ต้องขอบคุณทีมไทยมากๆนะคะที่ทำให้เรานำมงกุฎนี้มาได้ คือเราพาคนดูแลมากับเราเลย ถ้าเกิดว่าไม่มีคนดูแลจากฝั่งเขามาเขาจะไม่อนุญาตให้เอาออกมา เขาเคยเล่าว่าหลายครั้งเขาต้องนอนกอดมงกุฎหลับบนเครื่องเลยไหม เขาบอกว่าเขาแทบจะล่ามมงกุฎไว้กับตัวเอง เพราะราคา 17 ล้านมันสูงมาก ซึ่งทางมิกิโมโตเขาก็กังวล แต่ตอนนี้ก็ทำประกันเรียบร้อยแล้ว มงกุฎนี้จะอยู่กับเรา 5 วันจนถึงวันอาทิตย์ก็อาจจะได้เห็นในหลายๆรายการ

จะมีการแห่รอบเมืองไหม?

“ก็มีแฟนๆเรียกร้องมาว่าอยากเห็นสักครั้ง เพราะสมัยรุ่นพี่สองคน ก็มีการแห่ซึ่งทางทีมงานก็ได้สรุปว่าเป็นวันที่ 24 พฤศจิกายนนี้ 16.30 น.แถวช่วงสวนสวนลุมพินีถึงงานกาชาติไปเจอกันได้ เดี๋ยวจะแจ้งรายละเอียดอีกที”

มีโครงการอะไรที่อยากสานต่อบ้าง?

“จริงๆบิ๊นท์ยืนตรงนี้สิ่งที่ดีที่สุดคือคำพูดและกระบอกเสียง ที่ง่ายที่สุดเป็นกระบอกเสียงเลย ตัวบิ๊นท์เป็นเภสัชดังนั้นจึงมีความสนใจในเรื่องสุขภาพของคนไทย ซึ่งช่วงเวลาที่ไปเก็บตัวที่ประเทศญี่ปุ่น บิ๊นท์ก็ได้อะไรหลายๆอย่างในด้านนี้เพราะบิ๊นท์ไปเยี่ยมชมเขาดำน้ำเก็บไข่มุกและคนที่ดำน้ำอายุ 60กว่าหมดเลย แต่เขาสามารถดำน้ำเย็นประมาณ 10องศาได้ บิ๊นท์ก็เลยถามเขาว่าเขาทำอย่างไร ซึ่งบิ๊นท์ว่ามันน่าสนใจมาก การกินการออกกำลังกายมีผล การกินของประเทศญี่ปุ่นแตกต่างจากการกินของไทยเยอะ การกินของไทยยังมีส่วนประกอบที่ทำให้คอเลสเตอรอลสูง บ้านเขาซีเรียสเรื่องแคลอรี่มากซึ่งมันดีเพราะมันทำให้อายุเขายืนมันเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับประเทศไทย และบิ๊นท์ก็อยากสานต่อโครงการอะไรแบบนี้ที่จะทำให้สุขภาพคนไทยดียั้งยืนได้”

 มิสอินเตอร์เนชั่นแนล 2019

และภารกิจที่ญี่ปุ่นยังต้องบินกลับไปทำอะไรบ้าง?

“เดี๋ยวเขาจะแจ้งเรื่อยๆ แต่ภารกิจหลักคือมอบมงกุฎให้มิสอินเตอร์เนชันแนลประเทศต่างๆ อันนี้แฟนคลับจากต่างประเทศเขาก็รอเจอเราเหมือนกัน ก็ดีใจนะคะที่จะได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมประเทศอื่นๆดูวัฒนธรรมเขา มันมีประโยชน์กับตำแหน่งเราเพราะตำแหน่งเราต้องมีความรู้ของชาติอื่นๆเพื่อที่จะมาปรับปรุงประเทศเราด้วย”

งานวงการบันเทิง?

“ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีโอกาสใหม่ ซึ่งบิ๊นท์ก็มีโอกาสด้านนี้เข้ามาทางด้านวงการบันเทิงและงานการกุศลบิ๊นท์ก็สนใจด้านนี้ บิ๊นท์อยากตักตวงสิ่งที่เราเคยอยากทำตอนเด็กๆ ส่วนเรื่องเภสัชมันอยู่ในตัวบิ๊นท์อยู่แล้วบิ๊นท์ไม่ได้กลัวว่ามันจะหายไปเลยเพราะเราไม่มีทางทิ้งอาชีพนี้ได้ เพราะก็มีแพลนว่าในอนาคตถ้าอยู่ตัวอายุมากหน่อยก็อยากทำร้านยาชุมชนแต่ก็ต้องดูกันต่อไปเพราะมันก็เป็นแพลนในระยะยาว แต่ตอนนี้เราก็โฟกัสกับโอกาสใหม่ที่เข้ามาด้วย ส่วนตัวก็สนใจเพราะตอนเด็กๆก็ชอบดูละคร บิ๊นท์ไม่ได้มองบทนางเอกแต่มองบทนางร้ายเพราะมันดูสนุก แต่สุดท้ายก็แล้วแต่ความเหมาะสม”

สุดท้ายให้ขอบคุณแฟนนางงามที่ติดตามบิ๊นท์มาตลอดสักหน่อย?

“ก็ขอขอบคุณพี่น้องชาวไทยทุกคนจริงๆ เพราะตอนที่บิ๊นท์อยู่ญี่ปุ่นมันคือการอยู่คนเดียว แต่ที่ยึดเหนี่ยวจิตใจได้นอกจากครอบครัวและทีมงานก็คือแฟนๆชาวไทย บิ๊นท์เข้าไปอ่านคอมเมนต์และได้พลังกลับมาเยอะมาก บิ๊นท์ไม่เคยคิดว่ากำลังใจจากคอมเมนต์จะมีอิมแพ็คกับเรามากขนาดนี้จนกระทั่งอยู่คนเดียว มันอิ่มใจจนไม่กลัวอะไรเลยเพราะรู้สึกว่าเราเป็นตัวแทนหนึ่งเดียวของประเทศไทย แล้วข้างหลังมีคนสนับสนุนเราเต็มเลยเราต้องกลัวอะไร มันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรามั่นใจและได้มงกุฎมาด้วย”

 มิสอินเตอร์เนชั่นแนล 2019


ภาพ : เอกชัย สายสุวรรณ

The post เวลคัมทูไทยแลนด์ บิ๊นท์-สิรีธร มิสอินเตอร์เนชั่นแนล 2019 หอบมงกุฎกลับบ้านเกิด appeared first on Praew (แพรว) – All Luxe You Can Reach.

ฟ้าหลังฝน คิมอูบิน พระเอกเกาหลี ดีใจได้กลับมาพบแฟนคลับที่รักเขาอีกครั้ง

$
0
0

 คิมอูบิน พระเอกเกาหลี ปรากฏตัวครั้งแรกในรอบ 2 ปี 6 เดือน ในงานรางวัล 40th Blue Dragon Film Awards ซึ่งเจ้าตัวได้เผยความรู้สึกดีใจที่ได้กลับมาพบกับแฟนคลับที่รักเขาอีกครั้ง พร้อมขอบคุณทุกคนที่ช่วยส่งกำลังใจให้กับเขา

ย้อนกลับไปเมื่อกลางปี 2017 ทันทีที่ Sidus HQ ต้นสังกัดของ พระเอกเกาหลี คิมอูบิน ออกมาเปิดเผยว่านักแสดงหนุ่มเป็นมะเร็งหลังโพรงจมูก หลังจากนั้นเขาก็หยุดกิจกรรมในวงการบันเทิงทั้งหมด ซึ่งนับจากวันนั้นจนวันนี้รวมระยะเวลากว่า 2 ปีแล้วที่แฟนๆ แทบจะไม่ได้เห็นหน้าหนุ่มคนนี้เลย

ล่าสุดถือเป็นข่าวดี เมื่อหนุ่มหล่อขวัญใจสาวๆ กลับมามีสุขภาพที่แข็งแรงจนสามารถกลับมารับงานในวงการบันเทิงได้อีกครั้ง โดยเมื่อคืนวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 คิมอูบิน ได้ปรากฏตัวเป็นครั้งแรกในงาน 40th Blue Dragon Film Awards ในฐานะผู้เชิญรางวัล ซึ่งจัดขึ้นที่ Paradies City กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ โดยทันทีที่เขาขึ้นเวที ก็ได้รับเสียงปรบมือและเสียงเชียร์อย่างกึกก้อง  ซึ่งทำให้เขามีรอยยิ้มปรากฏบนหน้า พระเอกคนดังยังได้กล่าวทักทายแฟนๆ ด้วย โดยกล่าวว่า “สวัสดีครับทุกคน ผมค่อนข้างเป็นกังวล เพราะนี่เป็นการกลับมาเจอกันอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้พบกันนาน ผมคิดเกี่ยวกับวิธีเกริ่นคำพูดตัวเอง มันยากมากจริงๆ ผมอยากบอกว่าผมรู้สึกขอบคุณมากกว่าคำอื่นใด สุขภาพผมไม่ดีแบบนั้นแต่หลายคนก็ให้กำลังใจและภาวนาให้ผมเอาชนะมาให้ได้ ขอบคุณสำหรับสิ่งเหล่านั้น ผมเลยทักทายพวกคุณอย่างสุขภาพดี ผมอยากขอบคุณที่ให้การสนับสนุนผม ขอบคุณจากใจครับ ” (คำแปลจาก:  @bestsooth12)

พระเอกเกาหลี

พระเอกเกาหลี

พระเอกเกาหลี


ภาพจาก : Dispatch

The post ฟ้าหลังฝน คิมอูบิน พระเอกเกาหลี ดีใจได้กลับมาพบแฟนคลับที่รักเขาอีกครั้ง appeared first on Praew (แพรว) – All Luxe You Can Reach.

นักแสดงและศิลปินไทย บิลลี่-ภัทรชนน ผู้เคยปฏิเสธโอกาสจากวงการบันเทิงเกาหลี

$
0
0

 นักแสดงและศิลปินไทย บิลลี่-ภัทรชนน อ่อนสอาด เด็กออดิชั่นค่ายเพลงดัง “คิวเอ็นเตอร์เทนเม้นท์” ผู้เคยปฏิเสธโอกาสจากวงการบันเทิงเกาหลี

ต้องยอมรับว่าเด็กไทยหลายคนในตอนนี้ฝันถึงวงการบันเทิงเกาหลี จากกระแสความนิยมเคป็อปที่เพิ่มขึ้น รวมถึงมีต้นแบบรุ่นพี่ศิลปินไทยที่ดีและสำเร็จกับเส้นทางนี้ทำให้มีน้องๆ ที่อยากจะก้าวเดินตามความฝันในเส้นทางนี้อีกหลายคน เช่นเดียวกับ “บิลลี่-ภัทรชนน อ่อนสอาด” หนุ่มหน้าใสผู้รักและชื่นชอบการเต้น เขามีโอกาสได้ออดิชั่นกับค่ายเพลงเกาหลี ซึ่งความทุ่มเทและความพยายามทำให้เขาได้รับข้อเสนอจากค่ายเพลงดัง แต่ด้วยเหตุผลบางประการทำให้หนุ่มคนนี้ไม่สามารถรับข้อเสนอได้ แต่วันนี้เขาพร้อมที่จะกลับมาทำตามฝันอีกครั้งในฐานะนักแสดงและนักร้องจากค่ายเพลง “ไอม่า อินเตอร์”

ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ “บิลลี่” ได้เดินทางมาพบกับ “แพรวดอทคอม” ถึงออฟฟิศ เราจึงมีโอกาสสัมภาษณ์หนุ่มหล่อคนนี้ในหลายแง่มุม ซึ่งจะมีเรื่องอะไรบ้างนั้นไปติดตามกันเลยดีกว่าค่ะ

รู้หรือเปล่าว่าที่มาของชื่อ “บิลลี่” คืออะไร?

“ชื่อจริง “ภัทรชนน” หมายถึง “ผู้ที่เกิดในที่ที่ดีงาม ผู้ที่เกิดในสถานที่ที่มีแต่ความสุขมีแต่สิ่งดีๆ อยู่รอบกาย” ส่วนชื่อเล่น “บิลลี่” คือช่วงนั้นพี่ “บิลลี่ โอแกน” ดัง (หัวเราะ) คุณพ่ออยากได้ชื่อที่ดูอินเตอร์หน่อยก็เลยได้เป็นชื่อนี้มา”

บิลลี่-ภัทรชนน

ผลงานของ “บิลลี่” : ละครเรื่อง “สิงหะ นาคะ” และ “Hotel Stars สูตรรักนักการโรงแรม” ทางช่อง 3 และ “หลงเงา” ทางช่อง พีพีทีวี

เกิดและเติบโตที่ไหน?

“ผมเป็นคนต่างจังหวัดเกิดที่นครสวรรค์ครับ หนุ่มเหนือตอนล่างหนุ่มกลางตอนบน ครอบครัวประกอบอาชีพเกี่ยวกับเทควันโด้และสนามยิงปืน ซึ่งผมก็ได้รับอิทธิพลมาคือครอบครัวสอนให้เล่น เดินสายแข่งขันตั้งแต่อายุ 5 ขวบเลย”

จากความฝันการเป็นนักบินมาสู่เส้นทางการแสดงได้อย่างไร?

“ตอนเด็กๆ ผมฝันว่าอยากเป็นนักบินอวกาศ พอโตขึ้นมาหน่อยน่าจะไปอวกาศไม่ไหวก็เลยมุ่งมาที่การเป็นนักบินแทน จึงได้เลือกเรียนคณะที่เกี่ยวกับการบินและต่อยอดเป็นนักบินได้ (ภาควิชาการบินและอวกาศ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์) เส้นทางวงการบันเทิงของผมน่าจะเริ่มต้นตอนปี 1 ด้วยการเดินสายแคสติ้งโฆษณา จำได้ว่างานชิ้นแรกคือโฆษณาพิซซ่า ตอนนั้นได้ค่าตัวที่ถือว่าเยอะเลยประมาณ 5 หมื่นบาท จากนั้นก็เริ่มงานด้านละคร โดยเรื่องแรกคือ “สิงหะ นาคะ” ออกอากาศทางช่อง 3 อยู่ในสังกัดของ “พี่ปิ๊ก-ฌานฉลาด”

ตกหลุมรักงานแสดงเพราะอะไร?

“คือผมรู้สึกว่าการมาทำงานทางด้านละครหรือซีรีส์มันเหมือนกับการผจญภัย เพราะปกติแล้วชีวิตของเราคงไม่ได้เจอเหตุการณ์อะไรแบบนี้ เช่นฉากแอ็คชั่น การเสี่ยงอันตรายไปช่วยใครสักคนหนึ่ง เพราะถ้าเป็นชีวิตจริงเราก็คงโทรเรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจ เราได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนก็เลยทำให้หลงรักในงานแสดงมากขึ้น”

บิลลี่-ภัทรชนน

นอกจากงานถ่ายโฆษณาและงานแสดงแล้ว เห็นว่ามีความสามารถทางด้านการเต้นด้วย?

“ใช่ครับผมถนัดร้องและเต้นมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว แรงบันดาลใจในการเต้นของผมก็คือ พี่กอล์ฟ-พี่ไมค์ ด้วยความที่ว่าเห็นเขาเต้นเท่ก็เลยทำให้ผมหลงใหลในการเต้น ด้วยความที่เราเป็นนักกีฬาเทควันโด้ที่ต้องใช้ศิลปะสื่อสารทางร่างกายมันก็เป็นแขนงเดียวกับการเต้นด้วย จะสื่อสารท่าเต้นออกมาทางร่างกาย หลังจากนั้นด้วยความชื่นชอบก็เลยฝึกมาตลอด อย่างในละครเรื่อง “หลงเงา” ก็ได้ใช้ในการถ่ายทำด้วย”

เห็นว่ารักการเต้นจนได้ออดิชั่นกับค่ายเพลงเกาหลี (คิวเอ็นเตอร์เทนเม้นท์) เขายื่นข้อเสนอให้แต่บิลลี่เองที่ปฏิเสธ เคยเสียดายโอกาสนี้บ้างไหม?

“คือตอนนั้นผมได้มีโอกาสไปออดิชั่น ผมเองก็ไม่คิดว่าจะได้ แต่เพราะเรียนหนักบวกกับตอนนั้นผมเองก็อยากเป็นนักบินมากก็เลยตัดสินใจขอเรียนก่อน เลยพับโปรเจ็กต์ทางด้านการเป็นศิลปินไว้ เพราะตอนนั้นเราไม่ได้อยากเป็นมาก ยอมรับว่าเสียดายโอกาสเหมือนกัน แต่ก็ต้องยอมรับในสิ่งที่ตัดสินใจไป แต่พอตอนนี้เรียนจบแล้วก็อยากที่จะกลับมาสานฝันตรงนี้อีกครั้ง”

แต่ล่าสุดก็กลายเป็นศิลปินบอยแบนด์ไปแล้ว?

“ครับ พอดีว่าทาง “ไอม่า อินเตอร์” เขาได้เปิดโอกาสให้กับเด็กๆ ที่รักการเต้น รักการร้อง เลยเปิดโปรเจ็กต์ศิลปินหน้าใหม่ “ไอม่า บอยส์” ซึ่งผมก็ได้ร่วมออดิชั่นและเป็นหนึ่งในนั้นด้วย เป็นศิลปินกลุ่ม 5 คน ผมเป็นลีดเดอร์ของวง ตอนนี้ก็กำลังฝึกฝนและพัฒนาศักยภาพด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการร้อง แอ็คติ้ง เดินแบบ ฯลฯ ทุกวันนี้ก็ฝึกกันหนักมากครับ ซ้อมกันตั้งแต่ 10 โมงถึง 4 ทุ่มเพื่อให้ออกมาดีที่สุด ตอนนี้ก็ได้เป็นศิลปินกลุ่มแรกของ “ไอม่า อินเตอร์”

ไอม่า บอยส์

ตอนนี้มีความรักไหม?

“มีแต่รักครอบครัวครับ ผมไม่มีเวลาที่จะโฟกัสเรื่องนี้เลย เพราะอย่างถ่ายละครก็ต้องใช้คิว 4 วัน วันที่เหลือก็มาซ้อมเต้นและร้องกับเพื่อนๆ “ไอม่า บอยส์” คือปกติแล้วผมไม่ได้เป็นคนที่ชอบเข้าหาคนหรือจีบก่อน คือถ้าไม่ชอบจริงๆ หรือไม่พร้อมที่จะมีเวลาเทคแคร์เขาได้อย่างเต็มที่ ผมก็จะไม่เข้าไปเพราะรู้แล้วว่าถ้าเข้าไปแล้วทำให้เขามีความสุขไม่ได้ก็อย่าดีกว่า ให้เขาไปเจอคนที่มีเวลาให้เขาได้เต็มที่ สามารถอยู่กับเขาได้ยามทุกข์และยามสุขจะดีกว่า”

หล่อๆ แบบนี้เคยถูกปฏิเสธเรื่องความรักบ้างหรือเปล่า?

“มีสิครับ (หัวเราะ) ประมาณ 2 ครั้ง ตอนมัธยมปลายกับมหาวิทยาลัย”

สุดท้ายบิลลี่อยากแชร์ช่วงเวลาพิเศษอะไรบ้างไหม?

“ผมมีพี่ๆ แฟนคลับที่ติดตามกันอยู่เป็นประจำ หลังจากผ่านไปในช่วงระยะเวลาหนึ่งเขาก็ได้รวมตัวจัดงานใหญ่ ซึ่งเป็นวันที่พี่ๆ มาเยอะมาก มันทำให้เราได้รู้สึกถึงพลังความรักความหวังดีที่พวกเขาส่งมา มันเป็นสิ่งที่ดีมากๆ เป็นโมเม้นต์ที่ผมรู้สึกว่าในชีวิตหาได้ยากมากที่จะมีคนรักเราขนาดนี้ในตัวตนที่เราเป็น ซึ่งตอนนั้นเรายังไม่มีผลงานอะไรเลย แต่ทุกคนก็รักเรามากขนาดนี้”

บิลลี่-ภัทรชนน


 

The post นักแสดงและศิลปินไทย บิลลี่-ภัทรชนน ผู้เคยปฏิเสธโอกาสจากวงการบันเทิงเกาหลี appeared first on Praew (แพรว) – All Luxe You Can Reach.

Viewing all 6621 articles
Browse latest View live


<script src="https://jsc.adskeeper.com/r/s/rssing.com.1596347.js" async> </script>